กฎหมาย PDPA คืออะไร? พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ธุรกิจควรรู้

กฎหมาย PDPA

การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย PDPA ที่ธุรกิจทุกขนาดต้องใส่ใจ CIPHER เข้าใจความสำคัญนี้ดี เราจึงรวบรวมสาระสำคัญของกฎหมาย PDPA ไว้ในบทความนี้ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและปรับตัวให้ธุรกิจสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้อย่างถูกต้อง

Table of Contents

PDPA คืออะไร?

กฎหมาย PDPA - PDPA Law

PDPA คือ กฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ย่อมาจาก Personal Data Protection Act โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายที่ทำให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิในการควบคุมข้อมูลของตนเอง และกำหนดให้องค์กรที่เก็บหรือใช้ PDPA ข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับความยินยอมและต้องดูแลข้อมูลอย่างเหมาะสม

ความเป็นมาของกฎหมาย PDPA

PDPA คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เกิดขึ้นจากความจำเป็นในการคุ้มครองข้อมูลในยุคดิจิทัล เริ่มประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบวันที่ 1 มิถุนายน 2565 หลังจากเลื่อนมาหลายครั้งเพื่อให้องค์กรมีเวลาปรับตัว พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นี้มี ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลเทียบเท่ากับกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ที่ถือเป็นมาตรฐานระดับโลกในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเข้าใจ ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล จะช่วยให้ธุรกิจมีแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง

PDPA สำคัญกับธุรกิจในปัจจุบันอย่างไร?

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

ปัจจุบัน กฎหมาย PDPA มีความสำคัญต่อองค์กรทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น

  • ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เมื่อพวกเขารู้ว่าข้อมูลของพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดี
  • ป้องกันความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงจากการละเมิดข้อมูล
  • เพิ่มมาตรฐานการทำงานภายในองค์กรให้มีความโปร่งใสมากขึ้น
  • สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เมื่อคุณสามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าธุรกิจของคุ
  • ใส่ใจในความเป็นส่วนตัวของพวกเขา

การปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่วนบุคคล จึงไม่ใช่แค่การทำตามกฎหมาย แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานธุรกิจของคุณให้เป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ. ส่วนบุคคล และความปลอดภัยของข้อมูลมากขึ้นทุกวัน

ข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ PDPA มีอะไรบ้าง?

กฎหมาย PDPA ครอบคลุม PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลหลากหลายประเภท แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:

ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป หมายถึงข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น:

  • ชื่อ นามสกุล
  • ที่อยู่
  • หมายเลขโทรศัพท์
  • อีเมล
  • หมายเลขบัตรประชาชน
  • เลขที่หนังสือเดินทาง
  • ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ (Location)
  • IP Address
  • Cookie ID

PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้แม้จะดูเหมือนเป็นข้อมูลพื้นฐาน แต่สามารถนำไปใช้ระบุตัวตนและเชื่อมโยงไปถึงพฤติกรรมของบุคคลได้ จึงต้องได้รับการคุ้มครองตาม กฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด

ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษภายใต้ พ.ร.บ. ส่วนบุคคล ได้แก่:

  • ข้อมูลเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์
  • ความคิดเห็นทางการเมือง
  • ความเชื่อทางศาสนา
  • ข้อมูลพันธุกรรม
  • ข้อมูลชีวภาพ (เช่น ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า)
  • ประวัติอาชญากรรม
  • ข้อมูลสุขภาพ
  • ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ

การเก็บรวบรวมและใช้ PDPA ข้อมูลส่วนบุคคล ประเภทนี้ต้องได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลและมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ตามที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดไว้

องค์ประกอบสำคัญของ PDPA มีอะไรบ้าง?

การทำความเข้าใจองค์ประกอบของ PDPA สรุป ได้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องหลัก 3 ฝ่าย:

  1. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) – คือ บุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ ซึ่งมีสิทธิในการควบคุมและตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลของตนเอง
  2. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) – คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บริษัทที่เก็บข้อมูลลูกค้า
  3. ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) – คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูล

นอกจากนี้ PDPA สรุปสิทธิของเจ้าของข้อมูลที่สำคัญไว้ ดังนี้:

  • สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
  • สิทธิในการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
  • สิทธิในการลบข้อมูล (Right to be Forgotten)
  • สิทธิในการถอนความยินยอม
  • สิทธิในการห้ามการประมวลผล
  • สิทธิในการโอนย้ายข้อมูล
  • สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล

องค์ประกอบเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันและมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกันภายใต้ พ.ร.บ. ส่วนบุคคล ธุรกิจจึงต้องเข้าใจบทบาทของตนเองให้ชัดเจนว่าอยู่ในฐานะใด เพื่อปฏิบัติตาม PDPA อย่างถูกต้อง

5 ขั้นตอนการทำตาม PDPA ต้องทำอย่างไร?

หลายธุรกิจอาจสงสัยว่า PDPA ต้องทำอะไรบ้าง ต่อไปนี้คือ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปฏิบัติตาม กฎหมาย PDPA ได้อย่างครบถ้วน:

ขั้นตอนที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA ต้องทำอะไรบ้าง ในขั้นตอนแรก? การเก็บรวบรวมข้อมูลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บอย่างชัดเจน สิ่งที่ต้องดำเนินการ ได้แก่:

  • จัดทำ Privacy Policy ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
  • ตรวจสอบการจัดการเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และบริการจากบุคคลที่สาม (Third-party)
  • มีระบบการเก็บข้อมูลพนักงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย

การเก็บข้อมูลต้องเก็บเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์เท่านั้น ไม่ควรเก็บข้อมูลเกินความจำเป็นตามหลักการของ พ.ร.บ. ส่วนบุคคล

ขั้นตอนที่ 2 การใช้หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA ต้องทำอะไรบ้างในขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล? การใช้ข้อมูลต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เท่านั้น หากต้องการใช้ข้อมูลนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้แล้ว ต้องขอความยินยอมใหม่ ธุรกิจควร:

  • มีระบบบันทึกการประมวลผลข้อมูลที่ชัดเจน
  • มีการกำหนดระยะเวลาการเก็บข้อมูลที่เหมาะสม
  • จัดให้มีระบบการตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูล

การประมวลผลข้อมูลที่มีความอ่อนไหวต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรโดยชัดแจ้ง ตามที่ PDPA สรุป ไว้ในหลักการสำคัญ

ขั้นตอนที่ 3 มาตรการด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA สรุปว่าความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของ กฎหมาย PDPA ธุรกิจต้อง:

  • จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
  • มีระบบการเข้ารหัสข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
  • กำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง
  • มีแผนรับมือกรณีเกิดการรั่วไหลของข้อมูล

ความปลอดภัยของข้อมูลไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงกระบวนการทำงานและการฝึกอบรมบุคลากรด้วย เพื่อให้ทุกคนในองค์กรตระหนักถึง ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล

ขั้นตอนที่ 4 การส่งหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA ต้องทำอะไรบ้างในการส่งหรือเปิดเผยข้อมูล? การส่งต่อหรือเปิดเผยข้อมูลให้บุคคลที่สามต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยเฉพาะการส่งข้อมูลไปต่างประเทศที่มีข้อกำหนดพิเศษ ธุรกิจควร:

  • ตรวจสอบว่าประเทศปลายทางมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลที่เพียงพอ
  • มีสัญญาระหว่างคู่สัญญาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล
  • เก็บบันทึกการส่งหรือเปิดเผยข้อมูลทุกครั้ง

การเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมสามารถทำได้เฉพาะกรณีที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดเท่านั้น เช่น เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต

ขั้นตอนที่ 5 การกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA ต้องทำอะไรบ้าง ในการกำกับดูแล? การกำกับดูแลเป็นขั้นตอนต่อเนื่องที่ต้องทำตลอดไป โดยธุรกิจต้อง:

  • แต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) สำหรับองค์กรที่มีการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมาก
  • จัดทำและปรับปรุงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
  • ให้เจ้าของข้อมูลสามารถใช้สิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเข้าถึง แก้ไข ลบ หรือโอนย้ายข้อมูลได้โดยสะดวก

การกำกับดูแลที่ดีจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย PDPA และเทคโนโลยี

โทษที่คุณอาจเจอ หากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรง ทั้งในด้านการเงินและชื่อเสียง แบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้

โทษทางแพ่ง

เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามจริง และศาลอาจสั่งให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมได้ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ยังอาจถูกฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) หากมีผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเสียหายสูงมากขึ้นไปอีก

โทษทางอาญา

หากมีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่ผิด หรือเปิดเผยข้อมูลโดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นข้อมูลที่มีความอ่อนไหว โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โทษทางปกครอง

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสามารถสั่งปรับทางปกครองได้สูงสุดถึง 5,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการละเมิด โดยอาจสั่งให้หยุดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล หรือสั่งให้แก้ไขปรับปรุงมาตรการคุ้มครองข้อมูล นอกจากบทลงโทษตามกฎหมายแล้ว การละเมิด PDPA สรุป แล้วยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อธุรกิจ ซึ่งอาจเกิดผลเสียหายทางธุรกิจในระยะยาวที่ประเมินค่าไม่ได้

CIPHER ช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับ PDPA

CIPHER เข้าใจความซับซ้อนของกฎหมาย PDPA และพร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณปรับตัวได้อย่างราบรื่น ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการดิจิทัลและทีมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเทคโนโลยี เรามีบริการครบวงจรเพื่อรองรับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่วนบุคคล:

ให้คำปรึกษาด้าน PDPA สำหรับธุรกิจและเว็บไซต์

ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมช่วยคุณในทุกขั้นตอนเกี่ยวกับ PDPA ต้องทำอะไรบ้าง:

  • วิเคราะห์การเก็บและใช้ข้อมูลบนเว็บไซต์ ฟอร์มลงทะเบียน ระบบสมาชิก หรือ CRM ของคุณอย่างละเอียด
  • ให้คำแนะนำวิธีจัดทำ Privacy Policy, Terms & Conditions และ Cookie Policy ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
  • ออกแบบกระบวนการขอความยินยอมที่สอดคล้องกับมาตรฐาน PDPA

เราไม่เพียงแนะนำทฤษฎี แต่ช่วยคุณปฏิบัติจริงให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความเชี่ยวชาญในการดูแลลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม

พัฒนาและออกแบบเว็บไซต์ที่รองรับ PDPA แบบครบวงจร

นอกจากให้คำปรึกษา เรายังพัฒนาเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านธุรกิจและกฎหมาย PDPA:

  • ออกแบบเว็บไซต์พร้อมระบบแจ้งเตือน Cookie Consent ที่ทันสมัยและใช้งานง่าย
  • ออกแบบฟอร์มเก็บข้อมูลตามหลัก Privacy by Design เพื่อให้การเก็บข้อมูลเป็นไปตาม พ.ร.บ. ส่วนบุคคล ตั้งแต่ต้น
  • รองรับ SSL, HTTPS, การเข้ารหัสข้อมูล และระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยตามข้อกำหนด PDPA

เว็บไซต์ของคุณจะไม่เพียงสวยงามและใช้งานง่าย แต่ยังปลอดภัยและถูกต้องตาม กฎหมาย PDPA อีกด้วย

วางระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลลูกค้า (Data & CRM System)

เราช่วยวางระบบการจัดการข้อมูลที่ครบวงจรตามที่ PDPA สรุปไว้:

  • จัดทำระบบหลังบ้านสำหรับจัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ
  • ตั้งค่าระบบลบข้อมูลอัตโนมัติ การขอความยินยอมใหม่ และระบบรองรับสิทธิการขอลบข้อมูล
  • เชื่อมต่อกับระบบ Third-party เช่น Email Marketing, Line OA, Facebook Pixel โดยคำนึงถึงหลักการของ PDPA ข้อมูลส่วนบุคคล

ระบบที่ออกแบบโดย CIPHER จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถบริหารข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกกฎหมาย พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในอนาคต

สรุป

กฎหมาย PDPA เป็นโอกาสให้ธุรกิจยกระดับมาตรฐานการดูแลข้อมูลลูกค้า สร้างความเชื่อมั่น และได้เปรียบในการแข่งขัน PDPA คือ กฎหมายที่ช่วยปกป้องทั้งผู้บริโภคและธุรกิจในระยะยาว การปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

CIPHER พร้อมเคียงข้างคุณในทุกขั้นตอนของการปรับตัวให้สอดคล้องกับ PDPA ตั้งแต่การให้คำปรึกษา พัฒนาเว็บไซต์ วางระบบจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย ไปจนถึงการทำการตลาดแบบครบวงจร เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ PDPA

กฎหมาย PDPA คืออะไร?

กฎหมาย PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่ควบคุมการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน เพื่อปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนในยุคดิจิทัล มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565

กฎหมาย PDPA มีอะไรบ้าง?

กฎหมาย PDPA ประกอบด้วยสาระสำคัญ ได้แก่ การกำหนดนิยามข้อมูลส่วนบุคคล หลักการขอความยินยอม ฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล สิทธิของเจ้าของข้อมูล หน้าที่ของผู้ควบคุมและผู้ประมวลผลข้อมูล มาตรการรักษาความปลอดภัย และบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน ทั้งโทษทางแพ่ง อาญา และปกครอง

ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไรให้สอดคล้องกับ PDPA?

ธุรกิจต้องจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่ชัดเจน ออกแบบระบบขอความยินยอมสำหรับการเก็บข้อมูล จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูล ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA และอาจต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) หากมีการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมาก

การไม่ปฏิบัติตาม PDPA มีโทษอย่างไร?

การไม่ปฏิบัติตาม PDPA อาจถูกลงโทษทางแพ่ง (ชดใช้ค่าเสียหายจริงและค่าสินไหมทดแทนเพิ่มไม่เกิน 2 เท่า) ทางอาญา (จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท) และทางปกครอง (ปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท) รวมถึงผลกระทบต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจ
Shopping Cart
Scroll to Top