Ahrefs: เครื่องมือ SEO ครบวงจรที่ดีที่สุดในปี 2025

Ahrefs: เครื่องมือ SEO ที่ครบเครื่องที่สุดในปี 2025

Table of Contents

ในโลกของการทำ SEO ที่มีการแข่งขันสูง การมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญ Ahrefs เป็นหนึ่งในเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งจากผู้เริ่มต้นและมืออาชีพ ด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมและการใช้งานที่เข้าถึงได้ง่าย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ SEO Ahrefs และวิธีใช้งานเครื่องมือนี้เพื่อยกระดับกลยุทธ์ SEO ของคุณ

Ahrefs คืออะไร?

Ahrefs คืออะไร?

Ahrefs คือ เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์และติดตามประสิทธิภาพในการทำ SEO แบบครบวงจร ที่ช่วยให้คนทำเว็บไซต์ บริษัทรับทำ SEO และนักการตลาดออนไลน์ สามารถค้นหาข้อมูลเชิงลึก วางแผนกลยุทธ์ และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google ได้ดียิ่งขึ้น

Ahrefs ให้ข้อมูลที่สำคัญหลายด้าน เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การตรวจสอบแบ็คลิงก์ การวิเคราะห์คู่แข่ง และการตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ ทำให้คุณรู้ว่าควรปรับปรุงเว็บไซต์ในจุดใดเพื่อให้เป็นที่ถูกใจ Search Engine และเพิ่มโอกาสในการทำอันดับของคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ในหน้า SERPs (Search Engine Results Pages)

ฟีเจอร์หลักของ Ahrefs

Ahrefs มีฟีเจอร์ที่หลากหลายและครอบคลุมการทำ SEO แทบทุกด้าน โดยสามารถแบ่งฟีเจอร์หลักออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ดังนี้:
ฟีเจอร์หลักของ Ahrefs

1. Site Explorer

เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์เว็บไซต์ที่คุณสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของตัวเองหรือของคู่แข่ง โดยให้ข้อมูลที่สำคัญหลายด้าน:

  • Overview – ดูภาพรวมของเว็บไซต์ เช่น Domain Rating (DR), URL Rating (UR), จำนวน Traffic และจำนวนคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับ
  • Backlink Profile – ตรวจสอบลิงก์ที่ชี้มายังเว็บไซต์ ความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา และคุณภาพของแบ็คลิงก์
  • Organic Search – ดูคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์ติดอันดับ การเปลี่ยนแปลงของอันดับ และปริมาณทราฟฟิกที่ได้รับ
  • Paid Search – วิเคราะห์กลยุทธ์ Google Ads ของเว็บไซต์
  • Pages – ตรวจสอบหน้าเว็บแต่ละหน้าว่ามีแบ็คลิงก์ภายนอกและภายในอย่างไร

2. Keywords Explorer

เป็นเครื่องมือสำหรับค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ช่วยให้คุณรู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนควรนำมาทำคอนเทนต์หรือเป็น Landing Page เพื่อการแข่งขัน โดยมีข้อมูลสำคัญ เช่น:

  • Keyword Difficulty (KD) – SEO Difficulty คือค่าที่บอกความยากง่ายของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO (0-100)
  • Search Volume – จำนวนการค้นหาของคีย์เวิร์ดโดยเฉลี่ย
  • Traffic Potential – จำนวนทราฟฟิกที่คาดว่าจะได้จากคีย์เวิร์ดนั้น
  • Keyword Ideas – ช่วยค้นหา Target keyword ideas และ Longtail Target Keyword ที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียง

3. Site Audit

เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยตรวจสอบปัญหาต่าง ๆ บนเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อ SEO โดย Ahrefs จะส่ง Bot มา Crawl เว็บไซต์ของคุณและสรุปปัญหาออกมา เช่น:

  • หน้าที่ไม่มี Title หรือ Description
  • หน้าที่มี Title และ Description ซ้ำกัน
  • หน้าที่มีเนื้อหาซ้ำกัน (Duplicated Content)
  • ปัญหารูปภาพที่ไม่แสดงผล
  • ปัญหาด้าน Technical SEO อื่น ๆ

4. Rank Tracker

เป็นเครื่องมือสำหรับติดตามอันดับของคีย์เวิร์ดที่คุณสนใจ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า ช่วยให้เห็นผลการทำ SEO แบบย้อนหลัง โดยจะแยกการแสดงผลระหว่าง Desktop และ Mobile ด้วย นอกจากนี้ยังบอกว่าคีย์เวิร์ดไหนติด Featured Snippet และ URL ไหนที่ติดอันดับใน SERPs ด้วย

5. Content Explorer

เป็นเครื่องมือสำหรับค้นหาไอเดียในการสร้างคอนเทนต์ โดยเมื่อคุณใส่คีย์เวิร์ดหรือหัวข้อที่สนใจ Ahrefs จะแสดงข้อมูลว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่เขียนเกี่ยวกับหัวข้อนั้น และเขียนในรูปแบบใด ช่วยให้คุณได้ไอเดียในการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและแข่งขันได้

Ahrefs วิธีใช้งานเวอร์ชันฟรี

แม้ว่า Ahrefs จะเป็นเครื่องมือที่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีเวอร์ชันฟรีให้ใช้งานได้ด้วย โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ดังนี้:

1. Free Keyword Generator

เป็นเครื่องมือสำหรับทำ Keyword Research โดยสามารถค้นหาแยกตาม Search Engine ได้ทั้ง Google, Bing, YouTube และ Amazon รวมถึงเลือกเฉพาะบางประเทศได้ ผลลัพธ์จะแสดงคำค้นหา 2 แบบ คือ:

  • Phrase Match – คำค้นหาที่มีคำที่คุณต้องการปนอยู่
  • Questions – คำถามที่คนค้นหาเกี่ยวกับคำนั้น ๆ

ในเวอร์ชันฟรีจะใช้ได้จำกัดแค่ 10 คำ หากต้องการข้อมูลมากขึ้นต้องสมัครแพ็กเกจเพิ่มเติม

2. Keyword Difficulty Checker

เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบความยากง่ายของคีย์เวิร์ด เพื่อประเมินว่าคีย์เวิร์ดนั้นมีคู่แข่งมากน้อยเพียงใด ควรเข้าไปแข่งขันหรือไม่ โดยจะแสดงค่า KD (Keyword Difficulty) และข้อมูลของเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 3 อันดับแรกในเวอร์ชันฟรี

3. SERP Checker

SERP คือ หน้าแสดงผลการค้นหาของ Google ซึ่ง Ahrefs มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบผลการค้นหาของคู่แข่งว่าในคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับนั้น มีใครได้อันดับแรก ๆ บ้าง และพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน โดยเวอร์ชันฟรีจะแสดงเฉพาะ 3 อันดับแรกเท่านั้น

4. Keyword Rank Checker

เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับเท่าไหร่ในคีย์เวิร์ดที่ต้องการ และยังแสดงข้อมูลของคู่แข่งที่ติดอันดับ 1-3 ด้วย

5. Ahrefs Backlink Checker

Ahrefs Backlink Checker เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบจำนวนแบ็คลิงก์ที่ชี้มายังเว็บไซต์ โดยสามารถเลือกตรวจสอบได้ทั้งเฉพาะหน้าเว็บนั้น ๆ หรือทั้งเว็บไซต์ แสดงข้อมูลเช่น DR, จำนวนแบ็คลิงก์, สัดส่วนของ Dofollow Link และเว็บไซต์ที่ลิงก์มา

6. Website Authority Checker

เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยจะแสดงค่า DR (Domain Rating), จำนวนแบ็คลิงก์ และเปอร์เซ็นต์ของ Dofollow Link

7. Broken Link Checker

เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบลิงก์เสียบนเว็บไซต์ เช่น ลิงก์ที่นำไปสู่หน้า 404 Not Found ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขลิงก์ที่มีปัญหาได้

8. Website Traffic Checker

เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบ Organic Traffic ของเว็บไซต์ โดยจะแสดงข้อมูลเช่น จำนวน Traffic, Traffic Value, ประเทศที่มีคนเข้าชมมากที่สุด, Top Keywords และหน้าเว็บที่มีคนเข้าชมมากที่สุด

Ahrefs Pricing: แพ็กเกจและราคา

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานฟีเจอร์ทั้งหมดของ Ahrefs จำเป็นต้องสมัครแพ็กเกจเสียเงิน ซึ่งมีหลายระดับราคาให้เลือกตามความเหมาะสม:

Ahrefs Pricing (ณ ปี 2025):

  1. แพ็กเกจ Lite – เริ่มต้นที่ $99 หรือประมาณ 3,500 บาท/เดือน
  2. แพ็กเกจ Standard – เริ่มต้นที่ $199 หรือประมาณ 6,877 บาท/เดือน
  3. แพ็กเกจ Advanced – เริ่มต้นที่ $399 หรือประมาณ 13,789 บาท/เดือน
  4. แพ็กเกจ Enterprise – เริ่มต้นที่ $999 หรือประมาณ 35,000 บาท/เดือน

แต่ละแพ็กเกจจะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน โดยแพ็กเกจที่สูงขึ้นจะมีฟีเจอร์ที่มากขึ้นและข้อจำกัดในการใช้งานน้อยลง

ฟีเจอร์แนะนำที่น่าใช้งานใน Ahrefs

นอกจากฟีเจอร์หลักแล้ว Ahrefs ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่น่าสนใจและมีประโยชน์มากสำหรับการทำ SEO ดังนี้:

1. Content Gap Analysis

เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งติดอันดับ แต่เว็บไซต์ของคุณยังไม่ติด ใช้งานง่ายโดยการกรอกโดเมนของคุณและคู่แข่งลงไป ระบบจะประมวลผลและแสดงคีย์เวิร์ดสำคัญที่คู่แข่งติดอันดับอยู่ ช่วยให้คุณมีไอเดียในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ที่มีโอกาสแข่งขันได้

2. Organic Keywords 2.0

เป็นฟีเจอร์ที่บอกว่าเว็บไซต์ที่คุณสนใจติดอันดับคีย์เวิร์ดอะไรบ้าง โดยเรียงลำดับจากคีย์เวิร์ดที่สร้างทราฟฟิกมากที่สุด แสดงข้อมูลเช่น อันดับ, URL ที่ติด, จำนวนการค้นหา, ความยาก และสามารถเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงกับช่วงเวลาก่อนหน้าได้ ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของตลาดและพฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น

3. Having the Same Search Term

เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำที่คุณสนใจ โดยจะแสดงกลุ่มคำค้นหาที่มีคำของคุณอยู่ในนั้น แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ พร้อมข้อมูลของแต่ละคำ เช่น ปริมาณการค้นหา และความยาก เหมาะสำหรับการหา Secondary Keywords เพื่อเติมให้คอนเทนต์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

4. Best by Links Pages

เป็นฟีเจอร์ที่รวบรวมหน้าเว็บที่มีแบ็คลิงก์มากที่สุดบนเว็บไซต์ของคุณ แสดงจำนวนแบ็คลิงก์ทั้งหมด แยกเป็น Dofollow และ Nofollow ประโยชน์ที่สำคัญคือช่วยให้คุณค้นพบหน้าที่มีแบ็คลิงก์แต่เป็นหน้า Error 404 ซึ่งทำให้เสียประโยชน์จากแบ็คลิงก์นั้น คุณสามารถสร้างหน้าใหม่หรือทำ 301 Redirect ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องแทนได้

ข้อดีและข้อเสียของ Ahrefs

ข้อดี:

  1. ครบวงจร – มีเครื่องมือครอบคลุมทุกด้านของการทำ SEO
  2. ข้อมูลแม่นยำ – ให้ข้อมูลที่ละเอียดและน่าเชื่อถือ
  3. วิเคราะห์คู่แข่งได้ดี – ช่วยให้เห็นกลยุทธ์ของคู่แข่งและช่องว่างทางการตลาด
  4. ใช้งานง่าย – อินเตอร์เฟซเข้าใจง่าย แม้ผู้เริ่มต้นก็สามารถใช้งานได้
  5. มีการอัปเดตสม่ำเสมอ – ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ถูกเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของ SEO
  6. ทีม Support ดี – มีทีมสนับสนุนที่ติดต่อได้ง่ายและตอบสนองรวดเร็ว

ข้อเสีย:

  1. ราคาค่อนข้างสูง – อาจเป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือผู้เริ่มต้น
  2. ไม่คัดกรองคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง – บางครั้งอาจแสดงคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีความหมาย
  3. ไม่ได้เป็น Real-time – ใช้ Bot ของตัวเอง ทำให้ข้อมูลอาจมีความคลาดเคลื่อนบ้าง
  4. จำกัดการค้นหา – แพ็กเกจราคาต่ำอาจมีข้อจำกัดในการใช้งาน

เครื่องมือ SEO อื่น ๆ ที่น่าสนใจนอกจาก Ahrefs

หากคุณยังไม่แน่ใจว่า Ahrefs เหมาะกับคุณหรือไม่ หรือต้องการเครื่องมือเสริม ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้:

  1. Google Search Console (ฟรี) – เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพและข้อผิดพลาดของเว็บไซต์ รวมถึงตรวจสอบคีย์เวิร์ด
  2. Ubersuggest (มีทั้งฟรีและเสียเงิน) – มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ดูภาพรวม SEO, รายงานอันดับเว็บไซต์ และตรวจสอบปัญหาที่ควรแก้ไข
  3. SEMrush (มีทั้งฟรีและเสียเงิน) – คล้ายกับ Ahrefs มีฟีเจอร์ครบครันสำหรับการทำ SEO
  4. Google Trends (ฟรี) – ดูแนวโน้มการค้นหาตามช่วงเวลา เหมาะสำหรับหาไอเดียทำคอนเทนต์
  5. Moz – คล้ายกับ Ahrefs มีเครื่องมือวิเคราะห์ SEO หลากหลาย
  6. Answer the Public – ใช้สำหรับหาไอเดียคีย์เวิร์ดโดยเฉพาะ
  7. Yoast SEO (มีทั้งฟรีและเสียเงิน) – เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยปรับแต่ง Technical SEO
    บริการขอ

บริการของเรา

บริษัท Cipher เป็นเอเจนซี่ Digital Marketing แบบครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ SEO ชั้นนำอย่าง Ahrefs เพื่อยกระดับเว็บไซต์ของลูกค้าให้ติดอันดับต้น ๆ บน Google เรามีบริการที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจของคุณ เช่น SEO Marketing:

บริการด้าน SEO Marketing ของ Cipher:

  1. วิเคราะห์เว็บไซต์แบบเจาะลึก – ใช้ Ahrefs และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ วิเคราะห์คู่แข่ง และหาช่องว่างทางการตลาด
  2. วางแผนกลยุทธ์คีย์เวิร์ด – ค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพสูงและเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
  3. ปรับแต่ง On-Page SEO – ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ เนื้อหา และองค์ประกอบอื่น ๆ ให้เป็นมิตรกับ Search Engine
  4. สร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง – ผลิตเนื้อหาที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และ Search Engine ตามหลัก SEO
  5. บริการสร้าง Backlink คุณภาพ – สร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  6. ติดตามและรายงานผล – วิเคราะห์ผลการทำ SEO และปรับแผนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  7. แก้ไขปัญหา Technical SEO – ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์

เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการใช้ Ahrefs และเครื่องมือ SEO อื่น ๆ อย่างเชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อยกระดับธุรกิจออนไลน์ของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการ SEO ของเรา

สรุป

Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ครบวงจรที่เหมาะกับทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์เว็บไซต์ตนเองและคู่แข่ง ช่วยวางแผนกลยุทธ์คอนเทนต์และคีย์เวิร์ด แม้ราคาจะสูงแต่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์ ผู้ที่ยังไม่พร้อมลงทุนสามารถเริ่มจากเวอร์ชันฟรีหรือใช้เครื่องมืออื่นที่มีราคาถูกกว่าได้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คู่มือการใช้ Ahrefs

คำถามที่พบบ่อย

Ahrefs ราคาเท่าไหร่?

Ahrefs มีแพ็กเกจรายเดือน 4 ระดับ เริ่มต้นที่ประมาณ 3,069 บาท สำหรับแพ็กเกจพื้นฐาน และสูงสุดที่ประมาณ 30,970 บาท สำหรับแพ็กเกจองค์กร ราคาแตกต่างกันตามจำนวนฟีเจอร์และข้อจำกัดการใช้งาน

เครื่องมือ Ahrefs ใช้สำหรับการทำงานใด?

Ahrefs เป็นเครื่องมือสำหรับทำ SEO ที่ได้รับความนิยมสูง มีฟีเจอร์ครบครันสำหรับวางแผน ติดตามผล และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงอันดับบน Google ประกอบด้วย Backlink Checker, toolbar, keyword research, competitors analysis และ site audits ช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกในการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ

Ahrefs Digital Marketing หมายถึง?

Ahrefs คือ แพลตฟอร์มวิเคราะห์และติดตาม SEO ที่มีเครื่องมือครบวงจร ช่วยให้คุณตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์แบ็คลิงก์ และติดตามอันดับในผลการค้นหา ด้วยฐานข้อมูลที่ครอบคลุมและอัพเดตสม่ำเสมอ ทำให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในยุคปัจจุบัน

แบล็คลิงก์ คืออะไร?

Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นทำลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ เปรียบเสมือนการให้เครดิตหรืออ้างอิงถึงบทความของคุณ เช่น การขอบคุณแหล่งที่มาของบทความ แบ็คลิงก์มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำ SEO เพราะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจให้กับเว็บไซต์ในมุมมองของ Google
Scroll to Top