10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ (Web Design) ให้มีเว็บไซต์คุณภาพดี

10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ (Web Design)

Table of Contents

แนะ 10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ (Web Design) ให้มีเว็บไซต์คุณภาพดี

การออกแบบเว็บไซต์ (Web Design) ที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ดึงดูดให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น บริษัท CIPHER ผู้ให้บริการด้าน Digital Marketing แบบครบวงจร มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ และพัฒนาเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้คำปรึกษา และดูแลอย่างใกล้ชิด

Web Design คืออะไร?

การออกแบบเว็บไซต์ (Web Design) คืออะไร

Web Design หรือ การออกแบบเว็บไซต์ คือ การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ ทั้งในแง่ของการจัดเลย์เอาต์ สี ตัวอักษร กราฟิก และเนื้อหา ให้มีความสวยงาม น่าสนใจ และใช้งานได้สะดวก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในที่สุด การออกแบบเทมเพลตเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยสื่อสารข้อมูลที่สำคัญ ดึงดูดความสนใจ และโน้มน้าวให้ผู้ใช้งานดำเนินการตามที่เราต้องการได้

6 ขั้นตอนการออกแบบเว็บไซต์

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีต้องเริ่มต้นจากการวางแผนที่เป็นระบบ เพื่อให้ได้เว็บไซต์ที่สวยงาม ใช้งานได้อย่างลื่นไหล และตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจ ผู้ออกแบบจะต้องศึกษาความต้องการของผู้ใช้ พฤติกรรมการใช้งาน และ User Journey อย่างลึกซึ้ง ก่อนนำมาออกแบบให้เข้ากับความต้องการของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย โดยทั่วไปการออกแบบเว็บไซต์มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการออกแบบเว็บไซต์ (Web Design)
  1. กำหนดคอนเซปต์และเนื้อหาให้ชัดเจน ว่าเว็บไซต์จะมีวัตถุประสงค์และต้องการสื่อสารอะไร ต้องมีการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย คู่แข่ง และกำหนดทิศทางการออกแบบที่สอดคล้องกับแบรนด์
  2. วางโครงสร้าง (Sitemap) ของเว็บไซต์ จัดหมวดหมู่หน้าเว็บ ลำดับความสำคัญ และความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่าง ๆ ให้เป็นระบบ เพื่อง่ายต่อการท่องเว็บของผู้ใช้และ Search Engine
  3. เตรียม Domain name หรือชื่อเว็บไซต์ให้กระชับ จดจำง่าย สอดคล้องกับธุรกิจ อาจมีคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ และควรเลือก TLD ที่เหมาะสม
  4. ออกแบบ UI/UX ให้สวยงาม เข้าใจง่าย ใช้สะดวก ตรงตามคอนเซปต์และกลุ่มเป้าหมาย โดยคำนึงถึงหลักการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น Visual Hierarchy, Color Psychology, Typography เป็นต้น
  5. เลือกวิธีการพัฒนาเว็บไซต์ ว่าจะทำเองหรือใช้เครื่องมือสำเร็จรูป ให้เหมาะกับความต้องการและงบประมาณ ไม่ว่าจะเขียนโค้ดเองหรือใช้ CMS อย่าง WordPress ก็ต้องเลือกให้ตรงกับสกิลและทรัพยากรที่มี
  6. ทำให้เว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ (Responsive) เพื่อเข้าถึงผู้ใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะใช้มือถือ แท็บเล็ต หรือเดสก์ท็อป ก็ต้องปรับให้เนื้อหาและองค์ประกอบแสดงผลได้ลงตัวบนหน้าจอทุกขนาด

การออกแบบเว็บไซต์ควรดำเนินการตามลำดับขั้นตอนด้วยความรอบคอบ และยืดหยุ่นพอที่จะปรับเปลี่ยนตามผลตอบรับของผู้ใช้ได้ เพราะเว็บไซต์ไม่ใช่สิ่งที่แช่แข็งตายตัว แต่ต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้ทันต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและกระแสของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ให้ดูดี น่าสนใจ

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดูดีและมีประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ ที่ผสมผสานหลักการออกแบบหลายด้านเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าชม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุนทรียภาพ ความเรียบง่าย การใช้สี การจัดวางองค์ประกอบ หรือระบบนำทาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ต่อไปนี้คือ 10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ที่นักออกแบบมืออาชีพมักใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน

fb-5

1. ออกแบบให้เรียบง่าย

เน้นความเรียบง่าย ไม่รกรุงรัง เพื่อให้ผู้ใช้โฟกัสกับเนื้อหาสำคัญได้ง่าย และไม่สับสนกับส่วนที่ไม่จำเป็น การออกแบบที่มินิมอลจะช่วยให้โหลดเร็ว ปรับขนาดหน้าจอง่าย และทำให้ผู้ใช้อยากอ่านเนื้อหามากขึ้น แต่ก็ไม่ควรเรียบจนขาดจุดสนใจ ต้องมีจุดเด่นพอที่จะดึงดูดสายตาและสร้างความประทับใจในแบรนด์ได้บ้าง

2. เลือกใช้สีที่เข้ากันได้ลงตัว

การเลือกใช้สีให้เหมาะสมช่วยสร้างอารมณ์และความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ นอกจากจะต้องใช้สีให้สอดคล้องกับโทนสีและบุคลิกของแบรนด์แล้ว ยังต้องคำนึงถึง Color Harmony ที่ทำให้สีต่าง ๆ ดูกลมกลืนเข้ากันอย่างลงตัว ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป มีคอนทราสต์ที่ช่วยให้อ่านง่าย และเลือกใช้จำนวนสีไม่มากจนเกินไป เพื่อให้เว็บไซต์ดูสะอาดตาและมืออาชีพ

3. เลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย

ฟอนต์มีผลอย่างมากต่อความสะดวกในการอ่านเนื้อหา ควรเลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย สบายตา มีขนาดพอเหมาะ และมีระยะห่างระหว่างบรรทัดที่ทำให้อ่านสบาย โดยเน้นใช้ฟอนต์มาตรฐาน อย่าง Sans-serif fonts เช่น Arial, Verdana, Helvetica หรือ Serif fonts อย่าง Georgia, Times New Roman สำหรับเนื้อหาหลัก ไม่ควรใช้ฟอนต์แปลกตาเกินไปหรือใช้หลายฟอนต์ปนกันจนอ่านยาก และต้องเลือกขนาดฟอนต์ให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วย

4. ใช้พื้นที่ว่างให้เหมาะสม

White Space หรือพื้นที่ว่างช่วยแบ่งแยกส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหา ทำให้ดูเป็นระเบียบ ไม่อึดอัด ช่วยเน้นจุดสำคัญและเพิ่มความสบายตาในการอ่าน การจัดวางพื้นที่ว่างให้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างองค์ประกอบ ความกว้างของขอบ หรือระยะพื้นหลัง จะช่วยสร้างลำดับชั้นให้กับข้อมูลและทำให้ผู้ใช้โฟกัสไปที่เนื้อหาที่สำคัญได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรเว้นช่องว่างมากเกินจนดูเปลืองเนื้อที่ จำเป็นต้องหาสมดุลที่เหมาะสม

5. ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลบนมือถือ

ในยุคที่ผู้ใช้งานผ่านมือถือมีมากขึ้นเรื่อย ๆ การออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive ที่ปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเปิดบนสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือเดสก์ท็อป ก็ต้องแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์ทั้งเนื้อหา รูปภาพ และฟังก์ชันการทำงาน ต้องคำนึงตั้งแต่การจัดวาง Typography การใช้กราฟิก ไปจนถึงขนาดและตำแหน่งของปุ่มต่าง ๆ ที่ต้องใช้งานง่ายบนทุกหน้าจอ ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

6. ใช้ Visual Content ตกแต่งเว็บไซต์

Visual Content ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ไอคอน อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอ สามารถช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ดูมีชีวิตชีวา สื่อสารอารมณ์และความหมายได้ชัดเจนกว่าตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว และช่วยอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย ตลอดจนสร้างการจดจำในแบรนด์ได้ดีกว่าข้อความธรรมดา อย่างไรก็ตาม ควรเลือก Visual Content ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและสไตล์ของแบรนด์ คุมโทนสีให้เป็นธีมเดียวกัน และใช้แต่พอดีไม่ให้เยอะเกินไปจนรกตา นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดไฟล์ให้มีขนาดที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บด้วย

7. วางตำแหน่งเนื้อหาหลักให้เห็นได้ชัดเจน

เนื้อหาสำคัญของเว็บไซต์ควรอยู่ในตำแหน่งที่เด่นชัด สังเกตเห็นได้ทันที ด้วยการใช้หลัก Visual Hierarchy ในการจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบ ทั้งในแง่ของขนาด สี ตำแหน่ง พื้นที่ว่าง และรูปร่าง เพื่อให้สายตาวิ่งไปหาจุดที่เราต้องการเน้นเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นไฮไลต์สินค้า ปุ่มกระตุ้นการขาย หรือข้อความสำคัญ ก็ต้องทำให้โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ขนาดใหญ่ สีสันสดใส หรือรูปทรงเรขาคณิต เพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดข้อมูลที่เราอยากสื่อ

8. มีระบบนำทางเว็บไซต์

เมนูและระบบ Navigation ที่ดีช่วยให้ผู้ใช้ท่องเว็บได้ง่าย ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้สะดวก ไม่หลงทาง ทำให้อยากใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น โครงสร้างเมนูควรเป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่ชัดเจน ใช้ข้อความกระชับ เข้าใจง่าย มีลำดับชั้นไม่ลึกเกินไป ใช้ Dropdown Menu สำหรับหมวดย่อย รวมถึงมี Breadcrumb Navigation หรือ Sitemap เพื่อบอกตำแหน่งหน้าปัจจุบันและกลับไปหน้าก่อนหน้าได้ และควรมีช่องค้นหาเพื่อความสะดวกอีกด้วย

9. ใส่ Call-to-Action โยงถึงบริษัท

ปุ่ม Call-to-Action (CTA) เช่น “ติดต่อเรา” หรือ “ชมแพ็กเกจบริการ” ช่วยเชื่อมโยงผู้ใช้กับบริการของบริษัท เปลี่ยนจากผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้น การออกแบบ CTA ต้องใช้ข้อความที่ชัดเจน กระชับ กระตุ้นให้อยากคลิก โดยขนาด สี และตำแหน่งของปุ่มจะต้องโดดเด่น สะดุดตา แต่ไม่ดูยัดเยียดจนรำคาญ อาจมีหลายจุดบนหน้าเว็บ ทำซ้ำ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการคลิก แต่ต้องมีความสอดคล้องกับเนื้อหาและบุคลิกของแบรนด์

10. ทดสอบปรับปรุง Web Design อยู่เสมอ

แม้จะออกแบบเว็บมาอย่างดี แต่ก็ควรมีการทดสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ เพราะเทรนด์เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนแปลงตลอด การออกแบบเว็บจึงต้องปรับตัวให้ทันอยู่เสมอเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ควรมีการเก็บข้อมูล user behavior, การทำ A/B Testing, การขอ Feedback จากผู้ใช้จริง รวมถึงการศึกษาเทรนด์และเทคนิคใหม่ๆ ในวงการ เพื่อนำมาวัดผล วิเคราะห์ และปรับปรุงการออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นจึงจะเรียกว่าเป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่เหนือระดับ

เทรนด์การออกแบบเว็บไซต์น่าสนใจในปัจจุบัน

การออกแบบเว็บไซต์ มีการพัฒนาเทคนิคและสไตล์ใหม่ๆ ขึ้นมาตลอด เพื่อมอบประสบการณ์ที่สดใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ใช้อยู่เสมอ นักออกแบบและนักการตลาดจึงต้องคอยอัปเดตเทรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ล้ำสมัย โดดเด่น และตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละยุคสมัย ต่อไปนี้คือเทรนด์การออกแบบเว็บไซต์สุดฮอตที่น่าจับตามองในปัจจุบัน
  • Glassmorphism เป็นเทรนด์การออกแบบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยการเลียนแบบลักษณะของกระจกโปร่งแสง ที่มีเอฟเฟกต์พิเศษอย่างการเบลอฉากหลัง ไล่ระดับสีแบบ gradient และเงาสะท้อน ทำให้องค์ประกอบดูเบาบาง มีมิติ และความลึกขึ้น สร้างความรู้สึกทันสมัย หรูหรา แต่ยังคงความเรียบง่ายเอาไว้
  • Dark Mode กำลังมาแรงตามกระแสรักษ์โลก ด้วยการใช้โทนสีเข้มเป็นสีหลักในการออกแบบ ซึ่งนอกจากจะช่วยถนอมสายตาและลดอาการเมื่อยล้าจากการจ้องหน้าจอนานๆ แล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้อีกด้วย อีกทั้งยังให้ลุคที่ดูพรีเมียม หรูหรา และโดดเด่นกว่าเว็บทั่วไป
  • Micro-interactions และ Animations กำลังพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการใส่ detailing ที่ประณีตและเนียนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์เวลาเลื่อนหน้า เปลี่ยนเนื้อหา หรือวิธีที่ปุ่มโต้ตอบกับผู้ใช้ โดยอาศัย CSS และ JavaScript ที่ซับซ้อน ทำให้ได้อะนิเมชั่นที่ไหลลื่น ตอบสนองได้รวดเร็ว มีชีวิตชีวา พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหมือนกำลังใช้งานแอปพลิเคชั่นมากกว่าเว็บไซต์ธรรมดา
  • ในอนาคต การนำ AI มาใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์ตามข้อมูลความชอบส่วนบุคคลของผู้ใช้จะยิ่งเป็นเรื่องปกติมากขึ้น โดย AI จะเรียนรู้พฤติกรรมของแต่ละคน เช่น สินค้าที่เคยซื้อ หน้าเว็บที่เข้าบ่อย เพื่อคัดสรรเนื้อหาหรือข้อเสนอที่ตรงใจมานำเสนอโดยเฉพาะเจาะจง ตลอดจนการแนะนำสินค้าเสริมหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความประทับใจเฉพาะบุคคลให้มากที่สุด

บทสรุป

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้าน การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ บริษัท CIPHER พร้อมให้บริการครบวงจรโดยทีมงานมืออาชีพ ที่จะช่วยสรรสร้างเว็บไซต์ในฝันที่มีทั้งความสวยงาม ทันสมัย ใช้งานสะดวก และมีประสิทธิภาพสูงสุด เราให้คำปรึกษาฟรีและใกล้ชิด เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการทางธุรกิจของคุณ ปรึกษาทีมงาน CIPHER ผู้เชี่ยวชาญได้แล้ววันนี้ ก้าวสู่อนาคตบนโลกออนไลน์ไปกับเรา ด้วยเว็บไซต์ที่โดดเด่นและมีคุณภาพระดับมืออาชีพ

สนใจบริการ

คำถามที่พบบ่อย

ขั้นตอนการออกแบบและการสร้างเว็บไซต์มีกระบวนการอะไรบ้าง?

กระบวนการออกแบบเว็บไซต์โดยทั่วไป สามารถแบ่งเป็น 6 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ

  1. การกำหนดคอนเซปต์และเนื้อหาเพื่อสื่อสารชัดเจน
  2. การวางโครงสร้างหรือ Sitemap จัดระเบียบข้อมูล
  3. การจด Domain Name ให้จดจำง่ายและสอดคล้องกับธุรกิจ
  4. การออกแบบ UI/UX ทั้งความสวยงามและใช้งานสะดวก
  5. การเลือกวิธีการพัฒนาเว็บที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ
  6. การทำ Responsive Design ให้แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ทั้งหมดนี้ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนได้ตามผลตอบรับของผู้ใช้ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ทันสมัยและตอบโจทย์อยู่เสมอ

การสร้างเว็บไซต์มีทั้งหมดกี่แบบ อะไรบ้าง?

โดยทั่วไปแล้ว การสร้างเว็บไซต์สามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ

  1. การเขียนโค้ดตั้งแต่ต้น ซึ่งเหมาะกับเว็บที่มีความซับซ้อนสูงและต้องการฟีเจอร์ที่จำเพาะเจาะจง แต่ใช้เวลานานและต้องอาศัยความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมระดับสูง
  2. การใช้เครื่องมือหรือ CMS สำเร็จรูป เช่น WordPress, Wix หรือ Squarespace ซึ่งมีเทมเพลตให้เลือกมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะกับคนไม่มีพื้นฐานโค้ด ประหยัดเวลาและงบประมาณ แต่อาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งบางอย่าง

ทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ ทักษะ และทรัพยากรของแต่ละธุรกิจที่จะเลือกวิธีไหนให้เหมาะสมที่สุด

ส่วนประกอบของเว็บไซต์ มี 4 ส่วนอะไรบ้าง?

เว็บไซต์โดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 4 ส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้

  1. Header คือ ส่วนบนสุดของเว็บไซต์ ใช้วางโลโก้ เมนูหลัก ช่องค้นหา และปุ่มสำคัญต่าง ๆ ช่วยสร้างอัตลักษณ์และการนำทางเว็บ
  2. Body คือ ส่วนเนื้อหาหลักของเว็บ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละหน้า
  3. Sidebar คือ คอลัมน์ด้านข้างของ Body มักใช้วางเมนูรอง โฆษณา หรือวิดเจ็ตต่าง ๆ เพื่อแสดงข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง
  4. Footer คือ ส่วนล่างสุดของเว็บ ที่มักจะแสดงข้อมูลติดต่อ ลิงก์ไปโซเชียลมีเดีย แผนผังเว็บไซต์ หรือลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ทุกส่วนนี้ต้องออกแบบให้เข้ากันอย่างลงตัว ใช้งานสะดวก และสื่อสารข้อมูลที่จำเป็นให้ผู้ใช้ได้ครบถ้วน จึงจะเรียกว่าเป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบ
Scroll to Top