Table of Contents
การแก้ปัญหา Core Web Vital ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ในปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยใช้ Core Web Vitals เป็นเกณฑ์วัดคุณภาพเว็บไซต์ เจ้าของเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องเข้าใจและปรับปรุงค่า Core Web Vitals ให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบนผลการค้นหา โดยในบทความนี้ CIPHER จะแนะนำวิธีแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้งานและเทคนิคการทำ SEO ให้ถูกหลักอัลกอริทึมของ Google
Core Web Vital คืออะไร?
Core Web Vitals คือ ชุดเมตริกที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อวัดประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ในด้านความเร็ว การตอบสนอง และความเสถียรของหน้าเว็บ เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัย Page Experience ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับผลการค้นหา
เมื่อเจ้าของเว็บไซต์ต้องการแก้ปัญหา Core Web Vital พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจว่า Google ประเมินเว็บไซต์จากการวัดว่าผู้ใช้งานจริงได้รับประสบการณ์อย่างไรเมื่อเข้าชมหน้าเว็บ ซึ่งไม่ใช่แค่การวัดจากระบบของ Google เองเท่านั้น แต่นี่คือเหตุผลที่การปรับ Core Web Vitals ให้มีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ
ทำไม Core Web Vitals ถึงสำคัญต่อการทำ SEO?
Core Web Vitals สำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นปัจจัยโดยตรงที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ความสำคัญนี้มีดังนี้
- เพิ่มโอกาสการติดอันดับ: เว็บไซต์ที่มีค่า Core Web Vitals ดีมีโอกาสติดอันดับสูงกว่าคู่แข่งที่มีเนื้อหาคุณภาพใกล้เคียงกัน
- ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: การแก้ปัญหา Core Web Vital ช่วยให้ผู้ใช้งานพึงพอใจมากขึ้น ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) และเพิ่มเวลาการใช้งานเว็บไซต์
- สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วและใช้งานง่ายสร้างความประทับใจแรกที่ดี เสริมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
- เพิ่มอัตราการแปลงผล: ผู้ใช้งานที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้ามากขึ้น
- ลดต้นทุนการทำ SEO: การปรับ Core Web Vital ให้ดีตั้งแต่แรกช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
เมื่อคู่แข่งมีการแก้ไข Web Core Vitals ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ การไม่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเว็บไซต์อาจทำให้อันดับลดลงได้ ดังนั้น เจ้าของเว็บไซต์ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ Core Web Vital เพื่อรักษาและพัฒนาอันดับบน Google
องค์ประกอบของ Core Web Vitals มีอะไรบ้าง?
First Input Delay (FID)
First Input Delay (FID) คือ การวัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์เมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ เช่น การคลิกลิงก์ การกดปุ่ม หรือการกรอกข้อมูลในฟอร์ม เมตริกนี้วัดระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้เริ่มมีปฏิสัมพันธ์จนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์ตอบสนองต่อการโต้ตอบนั้น
ค่ามาตรฐานของ FID:
- ดี: น้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
- ต้องปรับปรุง: 100 – 300 มิลลิวินาที
- แย่: มากกว่า 300 มิลลิวินาที
ปัญหาที่ทำให้ FID มีค่าสูงมักเกิดจาก JavaScript ที่มีขนาดใหญ่หรือซับซ้อนเกินไป การประมวลผลที่หนักเกินไป หรือการโหลดสคริปต์จำนวนมากพร้อมกัน การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วนนี้จึงต้องมุ่งเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของ JavaScript
Largest Contentful Paint (LCP)
Largest Contentful Paint (LCP) คือ การวัดความเร็วในการโหลดและแสดงผลเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้มองเห็นบนหน้าจอ เป็นตัวชี้วัดว่าหน้าเว็บมีการโหลดเร็วเพียงใด โดยวัดจากเวลาที่เริ่มโหลดหน้าเว็บจนกระทั่งแสดงผลองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้ใช้มองเห็น ซึ่งอาจเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือบล็อกข้อความใหญ่
ค่ามาตรฐานของ LCP:
- ดี: น้อยกว่า 2.5 วินาที
- ต้องปรับปรุง: 2.5 – 4 วินาที
- แย่: มากกว่า 4 วินาที
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ LCP รวมถึงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ การเรนเดอร์ที่ถูกบล็อกโดย JavaScript และ CSS ขนาดของรูปภาพและวิดีโอ และประสิทธิภาพการโหลดทรัพยากร การปรับ Core Web Vital ในส่วนนี้จึงมุ่งเน้นที่การเพิ่มความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลัก
Cumulative Layout Shift (CLS)
Cumulative Layout Shift (CLS) คือการวัดความเสถียรของเลย์เอาต์หน้าเว็บ วัดจากการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขององค์ประกอบต่าง ๆ ระหว่างที่หน้าเว็บกำลังโหลด ค่า CLS ที่สูงหมายถึงหน้าเว็บมีการเลื่อนหรือกระโดดของเนื้อหา ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งาน เช่น การคลิกผิดปุ่มเพราะองค์ประกอบเลื่อนตำแหน่ง
ค่ามาตรฐานของ CLS:
- ดี: น้อยกว่า 0.1
- ต้องปรับปรุง: 0.1 – 0.25
- แย่: มากกว่า 0.25
สาเหตุของ CLS ที่สูงมักเกิดจากการไม่กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอ การโหลดโฆษณาหรือเนื้อหาภายนอกที่ไม่มีการจองพื้นที่ล่วงหน้า และการเพิ่มเนื้อหาแบบไดนามิกเหนือเนื้อหาที่มีอยู่ การแก้ Core Web Vital ในด้านนี้จึงเน้นที่การสร้างเสถียรภาพให้กับเลย์เอาต์
วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ เพิ่มคะแนน Core Web Vitals
ปรับ LCP
การแก้ไขปัญหา LCP เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์: ใช้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูง หรือพิจารณาใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อกระจายโหลด
- ปรับปรุงไฟล์รูปภาพ: บีบอัดรูปภาพให้มีขนาดเล็กลง โดยไม่สูญเสียคุณภาพมากนัก แนะนำให้ใช้รูปแบบไฟล์ WebP แทน JPEG หรือ PNG เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า
- การใช้ Lazy Load สำหรับรูปภาพ: โหลดเฉพาะรูปภาพที่ปรากฏบนหน้าจอก่อน ส่วนรูปภาพที่อยู่ด้านล่างจะโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอลงมาถึง
- ลดขนาดและจัดการ CSS/JavaScript: รวมและลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript ลบโค้ดที่ไม่จำเป็น และจัดการการโหลดสคริปต์ให้เหมาะสม
- ใช้การแคชของเบราว์เซอร์: กำหนดนโยบายการแคชที่เหมาะสมเพื่อลดการโหลดซ้ำของทรัพยากรที่ใช้บ่อย
การปรับ Core Web Vital ในส่วน LCP อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น เพิ่มความพึงพอใจและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์
ปรับ FID
การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วน FID เพื่อให้เว็บไซต์ตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ได้เร็วขึ้น
- แบ่ง JavaScript เป็นชุดย่อย: ใช้เทคนิค Code Splitting เพื่อโหลดเฉพาะโค้ดที่จำเป็นก่อน
- ลดการทำงานของ Main Thread: ย้ายการประมวลผลที่ใช้เวลานานไปทำใน Web Worker เพื่อไม่ให้บล็อกเธรดหลัก
เลื่อนการโหลดสคริปต์ที่ไม่จำเป็น: ใช้ defer หรือ async สำหรับสคริปต์ที่ไม่จำเป็นต้องโหลดทันที - ลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ WordPress หรือระบบ CMS อื่นๆ ที่มักมีปลั๊กอินมากเกินความจำเป็น
- ปรับปรุงประสิทธิภาพ JavaScript: ลดความซับซ้อนของฟังก์ชันและหลีกเลี่ยงการใช้งานที่สิ้นเปลือง
ปรับ CLS
การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วน CLS เพื่อให้เว็บไซต์มีความเสถียรมากขึ้น การปรับ Core Web Vital ในส่วน CLS ให้ดีจะช่วยให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อองค์ประกอบบนหน้าเว็บเลื่อนไปมา และช่วยให้การใช้งานเว็บไซต์เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น
- กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอ: ระบุความกว้างและความสูงของรูปภาพและวิดีโอในโค้ด HTML เพื่อจองพื้นที่ล่วงหน้า
- จองพื้นที่สำหรับโฆษณา: หากเว็บไซต์มีการแสดงโฆษณา ให้จองพื้นที่สำหรับโฆษณาไว้ล่วงหน้า
- หลีกเลี่ยงการเพิ่มเนื้อหาเหนือเนื้อหาที่มีอยู่: จัดโครงสร้างเนื้อหาให้มีการโหลดจากบนลงล่าง ไม่แทรกเนื้อหาใหม่ระหว่างเนื้อหาที่มีอยู่
- ใช้ CSS Transform สำหรับแอนิเมชัน: แทนการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งองค์ประกอบโดยตรง
- ทดสอบบนอุปกรณ์หลากหลาย: ตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีความเสถียรบนอุปกรณ์และขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน
ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง?
First Contentful Paint
Time to Interactive
Speed Index
Page Performance Scores
Page Performance Scores คือ คะแนนรวมที่สะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมของหน้าเว็บ โดยพิจารณาจากเมตริกหลายตัวรวมกัน ทั้ง Core Web Vitals และเมตริกอื่น ๆ เช่น FCP, TTI, Speed Index และ TBT คะแนนนี้มักแสดงในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์หรือค่า 0 – 100 ในเครื่องมืออย่าง PageSpeed Insights หรือ Lighthouse เว็บไซต์ที่มีคะแนนสูงแสดงถึงประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี ทั้งในด้านความเร็ว การตอบสนอง และความเสถียร
การปรับปรุงคะแนนนี้ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายด้านไปพร้อมกัน ไม่ใช่เพียงแค่ด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพดีในภาพรวม ส่งผลดีต่อทั้งประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับใน Google
Total Blocking Time
เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบ Core Web Vitals
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ตรวจสอบประสิทธิภาพของหน้าเว็บต่าง ๆ ให้ข้อมูลจากผู้ใช้จริง ทำให้เห็นภาพรวมของปัญหาที่ผู้ใช้งานจริงพบเจอ โดยมีรายงาน Core Web Vitals โดยเฉพาะ วิธีใช้งาน
- เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google: ลงทะเบียนเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console และยืนยันความเป็นเจ้าของ
- ดูรายงาน Core Web Vitals: เลือกเมนู “Experience” และคลิกที่ “Core Web Vitals” จะพบรายงานที่แสดงประสิทธิภาพของหน้าเว็บต่าง ๆ ในเว็บไซต์
- วิเคราะห์ปัญหา: รายงานจะแสดงหน้าเว็บที่มีปัญหา จัดกลุ่มตามลักษณะปัญหาเพื่อให้แก้ไขได้ง่าย
- ติดตามการปรับปรุง: หลังจากแก้ไขปัญหา คุณสามารถขอให้ Google ตรวจสอบใหม่เพื่อยืนยันผลการปรับปรุง
Google PageSpeed Insights
Google PageSpeed Insights เป็นเครื่องมืออีกตัวที่ใช้ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของหน้าเว็บและให้คำแนะนำในการแก้ไข วิธีใช้งาน
- เข้าไปที่ PageSpeed Insights: พิมพ์ URL ของหน้าเว็บที่ต้องการวิเคราะห์
- รับผลการวิเคราะห์: เครื่องมือจะวิเคราะห์หน้าเว็บและแสดงผลคะแนนทั้งสำหรับเวอร์ชันมือถือและเดสก์ท็อป
- ดูรายละเอียดของ Core Web Vitals: จะมีรายงานละเอียดของค่า LCP, FID, CLS และเมตริกอื่น ๆ
- รับคำแนะนำในการปรับปรุง: PageSpeed Insights ให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงสำหรับการแก้ปัญหา Core Web Vital ในแต่ละด้าน
- ดูข้อมูลทั้งภาคสนามและในห้องทดลอง: เครื่องมือนี้แสดงทั้งข้อมูลจากผู้ใช้จริง (Field Data) และข้อมูลจากการทดสอบในสภาพแวดล้อมเฉพาะ (Lab Data)
PageSpeed Insights ไม่เพียงแต่ช่วยระบุปัญหา แต่ยังช่วยจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหา โดยแสดงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการแก้ไขแต่ละรายการ การปรับ Core Web Vital ตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขที่มีผลกระทบมากที่สุดก่อน
วิธีเช็กคะแนน Core Web Vitals
เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเองได้เลยครับ โดยพึ่งพา 2 เครื่องมือที่ใช้งานได้ฟรีที่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ใช้ง่าย ไม่ต้องไปเรียนรู้ฟังก์ชันอะไรใหม่ ๆ และเป็นส่วนเครื่องมือส่วนใหญ่ที่ไว้เช็ก Technical SEO โดยไม่ยุ่งยาก ดังนี้
- Google Search Console: ใช้ดูรายงานภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ว่าหน้าไหนมีปัญหาอะไรบ้าง โดยเข้าไปที่ https://search.google.com/search-console/about หาเมนู Core Web Vitals ทางซ้ายมือ ดูข้อมูลทั้ง Mobile และ Desktop (โฟกัสที่ Mobile เป็นหลัก) เพื่อดูภาพรวมทุกหน้าพร้อมกัน ไม่ต้องไล่เช็กทีละหน้า หากต้องการเช็กแบบละเอียดให้ใช้ PageSpeed Insights
- PageSpeed Insights: เป็นเว็บไซต์เดียวกันกับที่ใช้เช็กความเร็วเว็บไซต์ปกติ วิธีใช้เพียงกรอกโดเมน กด Analyze แล้วรอผลลัพธ์ ตรวจสอบ Metrics ต่าง ๆ และทำตามคำแนะนำที่อยู่ด้านล่าง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกอย่าง เพราะหากได้คะแนน 90 ขึ้นไปถือว่าดีมากแล้ว
หากต้องการแก้ปัญหา Core Web Vital สามารถติดต่อสอบถาม CIPHER เพิ่มเติมได้แล้ววันนี้!
การแก้ปัญหา Core Web Vital อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคเชิงลึก บริษัท CIPHER มีความเชี่ยวชาญในการปรับ Core Web Vital และพร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยบริการของเราครอบคลุมตั้งแต่
- การวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบครบวงจร
- การแก้ไขปัญหา LCP, FID และ CLS ตามมาตรฐานของ Google
- การปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์และการตั้งค่า CDN
- การปรับแต่งรูปภาพและไฟล์มีเดีย
- การปรับปรุงโค้ด CSS และ JavaScript
- การให้คำปรึกษาและการติดตามผลหลังการปรับปรุง
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ของคุณ และช่วยให้คุณเข้าใจว่าการแก้ Core Web Vital จะช่วยในการดำเนินธุรกิจของคุณได้อย่างไร ติดต่อ CIPHER วันนี้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ!
สรุป – ทำไม Core Web Vitals ถึงสำคัญ?
การแก้ปัญหา Core Web Vital เป็นกลยุทธ์สำคัญในการปรับปรุงอันดับ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ การให้ความสำคัญกับการปรับ Core Web Vital ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นใน Google แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน เช่น การเพิ่มอัตราการแปลงผล การลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ และการสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้เข้าชม
ในยุคที่การแข่งขันออนไลน์สูง จำเป็นต้องอาศัยเทคเทคนิคการแก้ Core Web Vital Update ให้ได้มาตรฐานจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และสร้างความได้เปรียบในตลาด Core Web Vitals ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นพื้นฐานที่ Google ใช้วัดคุณภาพเว็บไซต์ในระยะยาว ดังนั้น การลงทุนในการปรับปรุง Web Vitals จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับอนาคต
หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาว อย่าลืมตรวจสอบและแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างสม่ำเสมอ ติดต่อ CIPHER วันนี้เพื่อรับความช่วยเหลือจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาและบริการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างครบวงจร!
คำถามที่พบบ่อย
วิธีแก้ไขปัญหา Core Web Vitals?
การแก้ปัญหา Core Web Vital ต้องดำเนินการทั้งสามด้านหลัก คือ LCP, FID และ CLS โดยมีวิธีการดังนี้
- ลดขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ: ใช้รูปแบบไฟล์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น WebP สำหรับรูปภาพ
- ปรับปรุง JavaScript: ลดขนาด แบ่งเป็นชุดย่อย และจัดลำดับความสำคัญ
- เพิ่มประสิทธิภาพ CSS: ลดขนาด CSS ที่ไม่จำเป็นและใช้ Critical CSS
- ปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์: ใช้ CDN และปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
- กำหนดขนาดองค์ประกอบล่วงหน้า: ระบุขนาดรูปภาพและองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อลดการเลื่อนของเลย์เอาต์
การแก้ไขควรเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาที่มีผลกระทบมากที่สุดก่อน และดำเนินการเป็นขั้นตอน โดยตรวจสอบผลลัพธ์หลังจากแก้ไขแต่ละครั้ง