แก้ปัญหา Core Web Vital ให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google

Table of Contents

การแก้ปัญหา Core Web Vital ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ในปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยใช้ Core Web Vitals เป็นเกณฑ์วัดคุณภาพเว็บไซต์ เจ้าของเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องเข้าใจและปรับปรุงค่า Core Web Vitals ให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบนผลการค้นหา โดยในบทความนี้ CIPHER จะแนะนำวิธีแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้งานและเทคนิคการทำ SEO ให้ถูกหลักอัลกอริทึมของ Google

Core Web Vital คืออะไร?​

แก้ปัญหา Core Web Vital คืออะไร

Core Web Vitals คือ ชุดเมตริกที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อวัดประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ในด้านความเร็ว การตอบสนอง และความเสถียรของหน้าเว็บ เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัย Page Experience ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับผลการค้นหา

เมื่อเจ้าของเว็บไซต์ต้องการแก้ปัญหา Core Web Vital พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจว่า Google ประเมินเว็บไซต์จากการวัดว่าผู้ใช้งานจริงได้รับประสบการณ์อย่างไรเมื่อเข้าชมหน้าเว็บ ซึ่งไม่ใช่แค่การวัดจากระบบของ Google เองเท่านั้น แต่นี่คือเหตุผลที่การปรับ Core Web Vitals ให้มีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ

ทำไม Core Web Vitals ถึงสำคัญต่อการทำ SEO?

Core Web Vitals สำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นปัจจัยโดยตรงที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ความสำคัญนี้มีดังนี้

  1. เพิ่มโอกาสการติดอันดับ: เว็บไซต์ที่มีค่า Core Web Vitals ดีมีโอกาสติดอันดับสูงกว่าคู่แข่งที่มีเนื้อหาคุณภาพใกล้เคียงกัน
  2. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: การแก้ปัญหา Core Web Vital ช่วยให้ผู้ใช้งานพึงพอใจมากขึ้น ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) และเพิ่มเวลาการใช้งานเว็บไซต์
  3. สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วและใช้งานง่ายสร้างความประทับใจแรกที่ดี เสริมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  4. เพิ่มอัตราการแปลงผล: ผู้ใช้งานที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้ามากขึ้น
  5. ลดต้นทุนการทำ SEO: การปรับ Core Web Vital ให้ดีตั้งแต่แรกช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

เมื่อคู่แข่งมีการแก้ไข Web Core Vitals ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ การไม่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเว็บไซต์อาจทำให้อันดับลดลงได้ ดังนั้น เจ้าของเว็บไซต์ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ Core Web Vital เพื่อรักษาและพัฒนาอันดับบน Google

องค์ประกอบของ Core Web Vitals มีอะไรบ้าง?

Core Web Vitals ประกอบด้วยเมตริกหลัก 3 ประการที่วัดประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ ได้แก่

First Input Delay (FID)

แก้ปัญหา Core Web Vital - FID

First Input Delay (FID) คือ การวัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์เมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ เช่น การคลิกลิงก์ การกดปุ่ม หรือการกรอกข้อมูลในฟอร์ม เมตริกนี้วัดระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้เริ่มมีปฏิสัมพันธ์จนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์ตอบสนองต่อการโต้ตอบนั้น

ค่ามาตรฐานของ FID:

  • ดี: น้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
  • ต้องปรับปรุง: 100 – 300 มิลลิวินาที
  • แย่: มากกว่า 300 มิลลิวินาที

ปัญหาที่ทำให้ FID มีค่าสูงมักเกิดจาก JavaScript ที่มีขนาดใหญ่หรือซับซ้อนเกินไป การประมวลผลที่หนักเกินไป หรือการโหลดสคริปต์จำนวนมากพร้อมกัน การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วนนี้จึงต้องมุ่งเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของ JavaScript

Largest Contentful Paint (LCP)

Largest Contentful Paint (LCP) คือ การวัดความเร็วในการโหลดและแสดงผลเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้มองเห็นบนหน้าจอ เป็นตัวชี้วัดว่าหน้าเว็บมีการโหลดเร็วเพียงใด โดยวัดจากเวลาที่เริ่มโหลดหน้าเว็บจนกระทั่งแสดงผลองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้ใช้มองเห็น ซึ่งอาจเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือบล็อกข้อความใหญ่

ค่ามาตรฐานของ LCP:

  • ดี: น้อยกว่า 2.5 วินาที
  • ต้องปรับปรุง: 2.5 – 4 วินาที
  • แย่: มากกว่า 4 วินาที

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ LCP รวมถึงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ การเรนเดอร์ที่ถูกบล็อกโดย JavaScript และ CSS ขนาดของรูปภาพและวิดีโอ และประสิทธิภาพการโหลดทรัพยากร การปรับ Core Web Vital ในส่วนนี้จึงมุ่งเน้นที่การเพิ่มความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลัก

Cumulative Layout Shift (CLS)

แก้ปัญหา Core Web Vital - CLS

Cumulative Layout Shift (CLS) คือการวัดความเสถียรของเลย์เอาต์หน้าเว็บ วัดจากการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขององค์ประกอบต่าง ๆ ระหว่างที่หน้าเว็บกำลังโหลด ค่า CLS ที่สูงหมายถึงหน้าเว็บมีการเลื่อนหรือกระโดดของเนื้อหา ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งาน เช่น การคลิกผิดปุ่มเพราะองค์ประกอบเลื่อนตำแหน่ง

ค่ามาตรฐานของ CLS:

  • ดี: น้อยกว่า 0.1
  • ต้องปรับปรุง: 0.1 – 0.25
  • แย่: มากกว่า 0.25

สาเหตุของ CLS ที่สูงมักเกิดจากการไม่กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอ การโหลดโฆษณาหรือเนื้อหาภายนอกที่ไม่มีการจองพื้นที่ล่วงหน้า และการเพิ่มเนื้อหาแบบไดนามิกเหนือเนื้อหาที่มีอยู่ การแก้ Core Web Vital ในด้านนี้จึงเน้นที่การสร้างเสถียรภาพให้กับเลย์เอาต์

วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ เพิ่มคะแนน Core Web Vitals

การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อแก้ปัญหา Core Web Vital ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งตามองค์ประกอบหลักดังนี้

ปรับ LCP

การแก้ไขปัญหา LCP เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • ปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์: ใช้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูง หรือพิจารณาใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อกระจายโหลด
  • ปรับปรุงไฟล์รูปภาพ: บีบอัดรูปภาพให้มีขนาดเล็กลง โดยไม่สูญเสียคุณภาพมากนัก แนะนำให้ใช้รูปแบบไฟล์ WebP แทน JPEG หรือ PNG เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า
  • การใช้ Lazy Load สำหรับรูปภาพ: โหลดเฉพาะรูปภาพที่ปรากฏบนหน้าจอก่อน ส่วนรูปภาพที่อยู่ด้านล่างจะโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอลงมาถึง
  • ลดขนาดและจัดการ CSS/JavaScript: รวมและลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript ลบโค้ดที่ไม่จำเป็น และจัดการการโหลดสคริปต์ให้เหมาะสม
  • ใช้การแคชของเบราว์เซอร์: กำหนดนโยบายการแคชที่เหมาะสมเพื่อลดการโหลดซ้ำของทรัพยากรที่ใช้บ่อย

การปรับ Core Web Vital ในส่วน LCP อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น เพิ่มความพึงพอใจและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์

ปรับ FID

การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วน FID เพื่อให้เว็บไซต์ตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ได้เร็วขึ้น

  • แบ่ง JavaScript เป็นชุดย่อย: ใช้เทคนิค Code Splitting เพื่อโหลดเฉพาะโค้ดที่จำเป็นก่อน
  • ลดการทำงานของ Main Thread: ย้ายการประมวลผลที่ใช้เวลานานไปทำใน Web Worker เพื่อไม่ให้บล็อกเธรดหลัก
    เลื่อนการโหลดสคริปต์ที่ไม่จำเป็น: ใช้ defer หรือ async สำหรับสคริปต์ที่ไม่จำเป็นต้องโหลดทันที
  • ลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ WordPress หรือระบบ CMS อื่นๆ ที่มักมีปลั๊กอินมากเกินความจำเป็น
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพ JavaScript: ลดความซับซ้อนของฟังก์ชันและหลีกเลี่ยงการใช้งานที่สิ้นเปลือง

ปรับ CLS

การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วน CLS เพื่อให้เว็บไซต์มีความเสถียรมากขึ้น การปรับ Core Web Vital ในส่วน CLS ให้ดีจะช่วยให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อองค์ประกอบบนหน้าเว็บเลื่อนไปมา และช่วยให้การใช้งานเว็บไซต์เป็นไปอย่างราบรื่น เช่น

  • กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอ: ระบุความกว้างและความสูงของรูปภาพและวิดีโอในโค้ด HTML เพื่อจองพื้นที่ล่วงหน้า
  • จองพื้นที่สำหรับโฆษณา: หากเว็บไซต์มีการแสดงโฆษณา ให้จองพื้นที่สำหรับโฆษณาไว้ล่วงหน้า
  • หลีกเลี่ยงการเพิ่มเนื้อหาเหนือเนื้อหาที่มีอยู่: จัดโครงสร้างเนื้อหาให้มีการโหลดจากบนลงล่าง ไม่แทรกเนื้อหาใหม่ระหว่างเนื้อหาที่มีอยู่
  • ใช้ CSS Transform สำหรับแอนิเมชัน: แทนการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งองค์ประกอบโดยตรง
  • ทดสอบบนอุปกรณ์หลากหลาย: ตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีความเสถียรบนอุปกรณ์และขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน

ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง?

นอกจากองค์ประกอบหลักของ Core Web Vitals แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งการแก้ปัญหา Core Web Vital ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย

First Contentful Paint

First Contentful Paint คือ เมตริกที่วัดเวลาตั้งแต่เริ่มโหลดหน้าเว็บจนถึงเวลาที่ผู้ใช้เห็นเนื้อหาต่าง ๆ เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ กราฟิก หรือองค์ประกอบที่มองเห็นได้อื่น ๆ เมตริกนี้เป็นตัวชี้วัดแรกที่บอกว่าหน้าเว็บเริ่มโหลดและตอบสนองแล้ว ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ใช้ว่าเว็บไซต์ทำงานอยู่หรือค้าง ค่า FCP ที่ช้าอาจเกิดจากไฟล์ CSS และ JavaScript ขนาดใหญ่ที่บล็อกการเรนเดอร์ หรือเซิร์ฟเวอร์ที่ตอบสนองช้า การให้ความสำคัญกับค่านี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์โหลดเร็ว แม้ว่าเนื้อหาทั้งหมดจะยังโหลดไม่เสร็จก็ตาม โดย Google แนะนำให้ค่า FCP อยู่ที่ต่ำกว่า 1.8 วินาที

Time to Interactive

​​Time to Interactive คือ เมตริกที่วัดเวลาตั้งแต่เริ่มโหลดหน้าเว็บจนถึงเวลาที่หน้าเว็บแสดงผลองค์ประกอบที่สำคัญเสร็จสมบูรณ์ สามารถตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว และเธรดหลักไม่มีงานหนักที่ใช้เวลานาน เมตริกนี้บ่งบอกว่าหน้าเว็บพร้อมใช้งานอย่างเต็มที่เมื่อไร ค่า TTI ที่สูงอาจเกิดจากการโหลด JavaScript จำนวนมาก โดยการปรับปรุงค่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเริ่มใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ บนเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น โดย Google แนะนำให้ค่า TTI อยู่ที่ต่ำกว่า 3.8 วินาที

Speed Index

Speed Index คือ เมตริกที่วัดความเร็วในการแสดงผลเนื้อหาที่มองเห็นได้ในระหว่างการโหลดหน้าเว็บ โดยคำนวณจากพื้นที่ของหน้าจอที่มีเนื้อหาแสดงผลแล้วในแต่ละช่วงเวลา ไม่ใช่แค่การวัดจากองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง แต่พิจารณาการแสดงผลของเนื้อหาทั้งหมดที่ผู้ใช้มองเห็น ซึ่งค่า Speed Index ที่ต่ำแสดงว่าหน้าเว็บมีการแสดงผลเนื้อหาที่รวดเร็วและต่อเนื่อง การปรับปรุงค่านี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์โหลดเร็วและมีความต่อเนื่องในการแสดงผลและการใช้งานต่าง ๆ โดย Google แนะนำให้ค่า Speed Index อยู่ที่ต่ำกว่า 3.4 วินาที

Page Performance Scores

Page Performance Scores คือ คะแนนรวมที่สะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมของหน้าเว็บ โดยพิจารณาจากเมตริกหลายตัวรวมกัน ทั้ง Core Web Vitals และเมตริกอื่น ๆ เช่น FCP, TTI, Speed Index และ TBT คะแนนนี้มักแสดงในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์หรือค่า 0 – 100 ในเครื่องมืออย่าง PageSpeed Insights หรือ Lighthouse เว็บไซต์ที่มีคะแนนสูงแสดงถึงประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี ทั้งในด้านความเร็ว การตอบสนอง และความเสถียร

การปรับปรุงคะแนนนี้ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายด้านไปพร้อมกัน ไม่ใช่เพียงแค่ด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพดีในภาพรวม ส่งผลดีต่อทั้งประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับใน Google

Total Blocking Time

Total Blocking Time (TBT) คือ ค่าที่ใช้วัดระยะเวลาที่เว็บไซต์ถูกบล็อกระหว่าง First Contentful Paint (FCP) และ Time to Interactive (TTI) โดยแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ไม่สามารถโต้ตอบกับหน้าเว็บได้เนื่องจากกระบวนการประมวลผลหรือการโหลดที่ใช้เวลานาน

เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบ Core Web Vitals

การแก้ปัญหา Core Web Vital เริ่มต้นจากการวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของเว็บไซต์ ซึ่งทำได้โดยใช้เครื่องมือต่อไปนี้

Google Search Console

Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ตรวจสอบประสิทธิภาพของหน้าเว็บต่าง ๆ ให้ข้อมูลจากผู้ใช้จริง ทำให้เห็นภาพรวมของปัญหาที่ผู้ใช้งานจริงพบเจอ โดยมีรายงาน Core Web Vitals โดยเฉพาะ วิธีใช้งาน

  1. เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google: ลงทะเบียนเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console และยืนยันความเป็นเจ้าของ
  2. ดูรายงาน Core Web Vitals: เลือกเมนู “Experience” และคลิกที่ “Core Web Vitals” จะพบรายงานที่แสดงประสิทธิภาพของหน้าเว็บต่าง ๆ ในเว็บไซต์
  3. วิเคราะห์ปัญหา: รายงานจะแสดงหน้าเว็บที่มีปัญหา จัดกลุ่มตามลักษณะปัญหาเพื่อให้แก้ไขได้ง่าย
  4. ติดตามการปรับปรุง: หลังจากแก้ไขปัญหา คุณสามารถขอให้ Google ตรวจสอบใหม่เพื่อยืนยันผลการปรับปรุง

Google PageSpeed Insights

Google PageSpeed Insights เป็นเครื่องมืออีกตัวที่ใช้ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของหน้าเว็บและให้คำแนะนำในการแก้ไข วิธีใช้งาน

  1. เข้าไปที่ PageSpeed Insights: พิมพ์ URL ของหน้าเว็บที่ต้องการวิเคราะห์
  2. รับผลการวิเคราะห์: เครื่องมือจะวิเคราะห์หน้าเว็บและแสดงผลคะแนนทั้งสำหรับเวอร์ชันมือถือและเดสก์ท็อป
  3. ดูรายละเอียดของ Core Web Vitals: จะมีรายงานละเอียดของค่า LCP, FID, CLS และเมตริกอื่น ๆ
  4. รับคำแนะนำในการปรับปรุง: PageSpeed Insights ให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงสำหรับการแก้ปัญหา Core Web Vital ในแต่ละด้าน
  5. ดูข้อมูลทั้งภาคสนามและในห้องทดลอง: เครื่องมือนี้แสดงทั้งข้อมูลจากผู้ใช้จริง (Field Data) และข้อมูลจากการทดสอบในสภาพแวดล้อมเฉพาะ (Lab Data)

PageSpeed Insights ไม่เพียงแต่ช่วยระบุปัญหา แต่ยังช่วยจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหา โดยแสดงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการแก้ไขแต่ละรายการ การปรับ Core Web Vital ตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขที่มีผลกระทบมากที่สุดก่อน

วิธีเช็กคะแนน Core Web Vitals

เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเองได้เลยครับ โดยพึ่งพา 2 เครื่องมือที่ใช้งานได้ฟรีที่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ใช้ง่าย ไม่ต้องไปเรียนรู้ฟังก์ชันอะไรใหม่ ๆ และเป็นส่วนเครื่องมือส่วนใหญ่ที่ไว้เช็ก Technical SEO โดยไม่ยุ่งยาก ดังนี้

  • Google Search Console: ใช้ดูรายงานภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ว่าหน้าไหนมีปัญหาอะไรบ้าง โดยเข้าไปที่ https://search.google.com/search-console/about หาเมนู Core Web Vitals ทางซ้ายมือ ดูข้อมูลทั้ง Mobile และ Desktop (โฟกัสที่ Mobile เป็นหลัก) เพื่อดูภาพรวมทุกหน้าพร้อมกัน ไม่ต้องไล่เช็กทีละหน้า หากต้องการเช็กแบบละเอียดให้ใช้ PageSpeed Insights
  • PageSpeed Insights: เป็นเว็บไซต์เดียวกันกับที่ใช้เช็กความเร็วเว็บไซต์ปกติ วิธีใช้เพียงกรอกโดเมน กด Analyze แล้วรอผลลัพธ์ ตรวจสอบ Metrics ต่าง ๆ และทำตามคำแนะนำที่อยู่ด้านล่าง แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกอย่าง เพราะหากได้คะแนน 90 ขึ้นไปถือว่าดีมากแล้ว

หากต้องการแก้ปัญหา Core Web Vital สามารถติดต่อสอบถาม CIPHER เพิ่มเติมได้แล้ววันนี้!

การแก้ปัญหา Core Web Vital อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคเชิงลึก บริษัท CIPHER มีความเชี่ยวชาญในการปรับ Core Web Vital และพร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยบริการของเราครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบครบวงจร
  • การแก้ไขปัญหา LCP, FID และ CLS ตามมาตรฐานของ Google
  • การปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์และการตั้งค่า CDN
  • การปรับแต่งรูปภาพและไฟล์มีเดีย
  • การปรับปรุงโค้ด CSS และ JavaScript
  • การให้คำปรึกษาและการติดตามผลหลังการปรับปรุง

ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ของคุณ และช่วยให้คุณเข้าใจว่าการแก้ Core Web Vital จะช่วยในการดำเนินธุรกิจของคุณได้อย่างไร ติดต่อ CIPHER วันนี้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ!

สรุป – ทำไม Core Web Vitals ถึงสำคัญ?

การแก้ปัญหา Core Web Vital เป็นกลยุทธ์สำคัญในการปรับปรุงอันดับ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ การให้ความสำคัญกับการปรับ Core Web Vital ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นใน Google แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน เช่น การเพิ่มอัตราการแปลงผล การลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ และการสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้เข้าชม

ในยุคที่การแข่งขันออนไลน์สูง จำเป็นต้องอาศัยเทคเทคนิคการแก้ Core Web Vital Update ให้ได้มาตรฐานจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และสร้างความได้เปรียบในตลาด Core Web Vitals ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นพื้นฐานที่ Google ใช้วัดคุณภาพเว็บไซต์ในระยะยาว ดังนั้น การลงทุนในการปรับปรุง Web Vitals จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับอนาคต

หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในระยะยาว อย่าลืมตรวจสอบและแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างสม่ำเสมอ ติดต่อ CIPHER วันนี้เพื่อรับความช่วยเหลือจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาและบริการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างครบวงจร!

คำถามที่พบบ่อย

วิธีแก้ไขปัญหา Core Web Vitals?

การแก้ปัญหา Core Web Vital ต้องดำเนินการทั้งสามด้านหลัก คือ LCP, FID และ CLS โดยมีวิธีการดังนี้

  • ลดขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ: ใช้รูปแบบไฟล์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น WebP สำหรับรูปภาพ
  • ปรับปรุง JavaScript: ลดขนาด แบ่งเป็นชุดย่อย และจัดลำดับความสำคัญ
  • เพิ่มประสิทธิภาพ CSS: ลดขนาด CSS ที่ไม่จำเป็นและใช้ Critical CSS
  • ปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์: ใช้ CDN และปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
  • กำหนดขนาดองค์ประกอบล่วงหน้า: ระบุขนาดรูปภาพและองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อลดการเลื่อนของเลย์เอาต์

การแก้ไขควรเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาที่มีผลกระทบมากที่สุดก่อน และดำเนินการเป็นขั้นตอน โดยตรวจสอบผลลัพธ์หลังจากแก้ไขแต่ละครั้ง

การประเมิน Core Web Vitals แก้ไขที่ล้มเหลวได้อย่างไร?

หากการประเมิน Core Web Vitals ล้มเหลว ควรตรวจสอบปัญหาที่ส่งผลต่อ LCP, FID/INP และ CLS จากรายงาน PageSpeed Insights หรือ Google Search Console จากนั้นปรับปรุงโดยเพิ่มประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ ลด JavaScript ที่ไม่จำเป็น และปรับองค์ประกอบบนหน้าให้เสถียร เพื่อลดเวลาหน่วงและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้

Core Web Vitals ยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่?

Core Web Vitals ยังคงมีความสำคัญอย่างมากในปี 2025 โดย Google ยังคงใช้เป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับเว็บไซต์ การแก้ปัญหา Core Web Vital จึงยังเป็นกลยุทธ์ SEO ที่สำคัญ เนื่องจาก Google ยังคงเน้นย้ำความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ในอัลกอริทึมการจัดอันดับ โดยผู้ใช้งานคาดหวังเว็บไซต์ที่โหลดเร็วและใช้งานง่าย โดยเฉพาะบนอุปกรณ์มือถือ

จะปรับปรุง Core Web Vitals ของ LCP ได้อย่างไร?

การปรับปรุง Core Web Vitals ของ LCP สามารถทำได้ด้วยการลดขนาดและบีบอัดรูปภาพให้เหมาะสม ใช้ไฟล์ WebP ที่โหลดเร็วขึ้น เปิดใช้แคชเพื่อลดเวลาการโหลด และลดขนาด CSS/JavaScript ให้เล็กลง
Scroll to Top