Table of Contents
การปรับกลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจ B2B ด้วย E-Commerce กำลังเป็นแนวทางที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาทกับธุรกิจต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้แพลตฟอร์ม E-Commerce จึงไม่ได้มีความสำคัญแค่เพียงเฉพาะของตลาด B2C อีกต่อไป แต่ธุรกิจ B2B ก็สามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต และเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันให้เหนือกว่าคู่แข่งได้เช่นเดียวกัน โดยในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงการปรับกลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce ในธุรกิจ B2B เพื่อให้ธุรกิจ B2B สามารถปรับใช้กลยุทธ์เหล่านี้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเองได้
การตลาดด้วย E-Commerce ในธุรกิจ B2B สำคัญอย่างไร?
ธุรกิจ B2B อาจถูกมองว่ามีกลุ่มลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งอาจเป็นลูกค้าระดับองค์กรหรือโรงงานที่มีความมั่นคงสูง ทำให้คิดว่าการทำการตลาดเพิ่มเติมอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อย่าลืมว่าในตลาดมีคู่แข่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน การปรับกลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce สำหรับธุรกิจ B2B จึงมีความสำคัญ ซึ่งการทำการตลาดในธุรกิจ B2B มีข้อดีดังนี้
- ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น: โดยการทำการตลาด E-Commerce สำหรับธุรกิจ B2B สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
- ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ: การทำการตลาดสำหรับธุรกิจ B2B แสดงให้ภาพลักษณ์ความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ผ่านการสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ ทำให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าที่สนใจ รู้สึกเชื่อมั่นว่าหากได้ร่วมงานจะสร้างความสำเร็จในธุรกิจได้
- การสร้างการรับรู้ (Brand Awareness): หากธุรกิจที่ใช้บริการมีการทำโฆษณาให้เป็นที่รู้จัก เมื่อลูกค้ามีการซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ไปก็จะมีการโปรโมตว่าธุรกิจเหล่านั้นได้มีการใช้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ นอกจากจะสร้างความเชื่อใจให้กับกลุ่มลูกค้ายังสามารถสร้างความมั่นใจและความเชื่อใจได้อีกด้วย
กลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce สำหรับธุรกิจ B2B
1. สร้างเว็บไซต์ E-commerce สำหรับธุรกิจ B2B ที่ใช้งานง่ายและน่าเชื่อถือ
ถึงแม้โซเชียลมีเดียจะเข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดของธุรกิจต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น แต่เว็บไซต์ยังคงถือเป็นแพลตฟอร์มหลักของธุรกิจ B2B โดยเว็บไซต์ E-Commerce ควรมีการออกแบบที่ดีเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยการออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ B2B เช่น
- ออกแบบให้ใช้งานง่าย: เน้นการนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และรวดเร็ว
- จัดหมวดหมู่สินค้าหรือบริการ: บนหน้าเว็บไซต์ควรมีการจัดหมวดหมู่หรือแบ่งประเภทสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย
- แสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด: ในรายละเอียดสินค้าและบริการบอกรายละเอียด รวมถึงสเปกต่าง ๆ รวมถึงรีวิวจากลูกค้า และคู่มือการใช้งาน
- ระบบการชำระเงิน: หากเลือกแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่มีคุณภาพ เช่น บริการ Shopify Implementation Service จากแพลตฟอร์ม ShopiFy Plus ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม E-Comerce ที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย มีฟีเจอร์การชำระเงินที่ปลอดภัย ก็จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้
- ช่องทางติดต่อที่สะดวก: เช่น ช่องแชท อีเมล หรือโทรศัพท์ เพื่อยืนยันว่าธุรกิจมีตัวตนอยู่จริง
2. การปรับกลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce ในธุรกิจ B2B ด้วย Content Marketing เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจ
การปรับกลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce ในธุรกิจ B2B ด้วยการทำ Content Marketing บนโลกออนไลน์สามารถทำได้หลายช่องทาง สำหรับแพลตฟอร์ม E-Commerce มีวิธีที่นิยมใช้กัน เช่น
- การสร้างบล็อกหรือบทความ: ปัจจุบันเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกใช้เป็นแค่ที่ขายสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว โดยธุรกิจส่วนใหญ่ได้ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม E-Commerce ด้วยการทำ Content Marketing เพื่อทำการตลาดออนไลน์ด้วยการเขียนบทความที่เป็นประโยชน์ ให้เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อให้เกิดการแชร์และสร้างการมองเห็นในโลกออนไลน์
- การสร้าง E-Book: การสร้าง E-Book เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ธุรกิจต่าง ๆ นิยมใช้กัน โดยการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์เพื่อแจกให้กับลูกค้าเป้าหมาย นอกจากเป็นการสร้างการรับรู้แล้วยังสามารถเก็บข้อมูลและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายผ่านการกรอกแบบฟอร์มเพื่อดาวน์โหลด E-Book ซึ่งข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้สามารถนำไปใช้ปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
3. การปรับปรุง SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นบน Search Engine
กลุ่มลูกค้าของธุรกิจ B2B นิยมใช้การค้นหาข้อมูลจากการค้นหาบนเว็บไซต์มากกว่าโซเชียลมีเดีย ซึ่งการใช้แพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ สามารถทำให้มีโอกาสสร้างยอดขายได้มากขึ้น ดังนั้นการปรับปรุง SEO จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำให้มีโอกาสที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์และกลายเป็นลูกค้าได้ โดยการปรับปรุง SEO เช่น
- การใช้ Keyword: ค้นหาควรเป็นคำที่ลูกค้าเป้าหมายค้นหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- ปรับปรุงเนื้อหา: ภายในเนื้อหาหรือข้อความต่าง ๆ บนเว็บไซต์ ควรมีคำสำคัญที่ตรงกับ Keyword ที่ค้นหา
- สร้าง Backlink: การใช้ Backlink เป็นการสร้างความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเว็บไซต์ สามารถเพิ่มการมองเห็นและการค้นหาบน Google ได้
4. Social Media Marketing เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce มีฟีเจอร์ที่ใช้ตกแต่งเว็บไซต์และสามารถใช้เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ ทำให้มีช่องทางการทำการตลาดเพื่อให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
โดยการทำ Social Media Marketing หรือการตลาดด้วย E-Commerce สำหรับธุรกิจ B2B บนโซเชียลมีเดียสามารถทำได้ โดยการเลือกช่องทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะสม เช่น LinkedIn, Facebook หรือ Twitter จากนั้นควรสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจด้วยการข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือบทความที่เป็นประโยชน์ ที่สำคัญควรมีการโต้ตอบกับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
5. Email Marketing เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว
Email Marketing ด้วยการส่งอีเมล ถือเป็นกลยุทธ์การทำการตลาดสุดคลาสสิกที่ยังคงใช้ได้ผล แต่การส่งอีเมลควรมีเทคนิคทั้งการเลือกเวลา และควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลหรือความสนใจของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า โดยมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามความสนใจและพฤติกรรมการซื้อ เพื่อทำการส่งอีเมลหรือแคมเปญต่าง ๆ ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น ข้อเสนอพิเศษ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือข่าวสาร โดยเครื่องมือที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้ คือ HubSpot ระบบ CRM ที่สามารถผสานกับแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopify Plus และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้
บทสรุป
การปรับกลยุทธ์การตลาดด้วย E-Commerce สำหรับธุรกิจ B2B เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า การสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เนื้อหาที่มีคุณภาพ และการทำการตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อให้ก้าวเหนือคู่แข่ง สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในด้าน E-Commerce ที่พร้อมจะให้คำแนะนำกลยุทธ์การทำการตลาดสำหรับธุรกิจ B2B ได้ที่: (คลิกที่นี่)