สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์ และยังไม่รู้ว่าจะเลือกแพลตฟอร์มไหนดี Shopify ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Shopify คืออะไร (Update 2026) แพลตฟอร์มสร้างร้านค้าออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก พร้อมอัปเดตฟีเจอร์ล่าสุดที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดในยุคดิจิทัล โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจาก CIPHER ที่ให้บริการทำเว็บไซต์ Shopify แบบครบวงจร พร้อมประสบการณ์ดูแลลูกค้าธุรกิจออนไลน์มากมาย
Table of Contents
Shopify คืออะไร?
Shopify คือ แพลตฟอร์มสำเร็จรูปสำหรับสร้างเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ครบวงจรและใช้งานง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการรายเล็กไปจนถึงแบรนด์ระดับโลก Shopify คือ ระบบที่ช่วยให้คุณมีหน้าร้านออนไลน์ที่ดูน่าเชื่อถือ มีระบบจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน และการจัดส่งแบบครบวงจร รวมถึงเครื่องมือการตลาดที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณ
Shopify คืออะไรในมุมมองของผู้ประกอบการไทย? ปัจจุบัน Shopify ในไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะรองรับการใช้งานกับระบบการชำระเงินและขนส่งท้องถิ่น ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งยังมีการแปลเป็นภาษาไทย ทำให้ผู้ใช้งานชาวไทยสามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและเข้าใจง่าย นับเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการพัฒนาเว็บไซต์ขึ้นมาเองตั้งแต่ต้น
ทำไม Shopify ถึงเป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจออนไลน์ในปี 2026
หากคุณสงสัยว่า Shopify ดีไหม คำตอบคือ มีเหตุผลมากมายที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในปี 2026:
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ด – แม้คุณไม่มีความรู้ด้านเทคนิค ก็สามารถสร้างร้านค้าสวยงามได้ด้วยระบบลากและวาง (Drag & Drop)
- รองรับการเติบโต – ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยสินค้าไม่กี่ชิ้นหรือนับพันรายการ Shopify ก็รองรับได้ทั้งหมด
- อัปเดตเทคโนโลยีอยู่เสมอ – ในปี 2026 Shopify ที่ได้พัฒนาระบบ AI ที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและแนะนำกลยุทธ์การขายที่เหมาะสม
- ระบบความปลอดภัยระดับสูง – มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในทุกธุรกรรม
- การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง – ทีมงานพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
Shopify ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด นอกจากเป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์แล้ว ยังเป็นระบบบริหารธุรกิจครบวงจร ช่วยให้คุณจัดการทั้งหน้าร้าน สต็อกสินค้า และการตลาดได้จากที่เดียว เรียกได้ว่าหากใครที่เข้าใจถึงความสำคัญของ Shopify คืออะไร (Update 2026) ก็จะสามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟีเจอร์เด่นของ Shopify สำหรับร้านค้าออนไลน์
E-Commerce Platform
Responsive Design
Payment Gateway
Multi-channel Selling
SEO Friendly
Analytics and Reporting
Customer Support
App Store
Shopify App Store มีแอปพลิเคชันมากกว่า 7,000 แอปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขาย จัดการสต๊อก ทำการตลาด หรือเพิ่มฟีเจอร์พิเศษต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวตามความต้องการของผู้ใช้
หากคุณต้องการทราบถึงฟีเจอร์ Shopify คืออะไร (Update 2026) ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณบ้างนั้น สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ Shopify จาก CIPHER ได้ทันที
จุดเด่นของ Shopify มีอะไรบ้าง?
Shopify คือ แพลตฟอร์มที่มีจุดเด่นหลายข้อ ที่ทำให้นักธุรกิจออนไลน์เลือกใช้ ได้แก่
- ไม่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง – Shopify ดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ ความปลอดภัย และการอัพเกรดระบบทั้งหมดให้คุณ คุณเพียงแค่โฟกัสกับการขายสินค้าและพัฒนาธุรกิจเท่านั้น
- ใช้งานง่ายเหมือนลากวาง (Drag & Drop) – แม้ไม่มีความรู้ด้านโค้ด คุณก็สามารถปรับแต่งหน้าเว็บได้อย่างง่ายดายด้วยระบบลากและวางที่ใช้งานสะดวก
- รองรับ SEO และการทำการตลาดออนไลน์ – มีเครื่องมือ SEO ในตัวที่ช่วยให้ เว็บไซต์ขายของออนไลน์ ของคุณติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น พร้อมฟีเจอร์การตลาดที่ครบครัน
- รองรับการชำระเงินหลายช่องทาง – เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินหลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยให้ลูกค้าจ่ายเงินได้สะดวก
- ขยายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ – Shopify คือ แพลตฟอร์มที่รองรับการขายระดับโลก สามารถตั้งค่าภาษา สกุลเงิน และวิธีการจัดส่งที่หลากหลาย
ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกใช้ Shopify
แม้ Shopify จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ ได้แก่
- ค่าใช้จ่าย – แม้จะมีแผนราคาที่หลากหลาย แต่นอกจากค่าแพลตฟอร์มแล้ว คุณอาจต้องลงทุนเพิ่มในธีม แอปพลิเคชัน หรือบริการเสริมอื่น ๆ
- ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม – Shopify มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมสำหรับแต่ละการขาย ควรคำนวณต้นทุนนี้เข้าไปในการวางแผนธุรกิจ
- ความซับซ้อนของการปรับแต่งขั้นสูง – หากต้องการปรับแต่งเว็บไซต์ในระดับโค้ด คุณอาจต้องเรียนรู้ภาษา Liquid ที่ Shopify ใช้
- การอัปเกรดและการอัปเดต – เมื่อ Shopify อัปเดตระบบ คุณต้องตรวจสอบว่าส่วนเสริมที่ใช้อยู่ยังทำงานได้ปกติหรือไม่
- การโอนย้ายข้อมูล – หากคุณมีเว็บไซต์ร้านค้าอยู่แล้ว การโอนย้ายข้อมูลมายัง Shopify อาจต้องใช้เวลาและความพยายาม
สิ่งที่สามารถขายบนเว็บไซต์ Shopify ได้
ประเภทสินค้าที่ขายได้บน Shopify
ขายของบน Shopify ได้หลากหลายประเภท ทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าดิจิทัล:
- สินค้ากายภาพ – เสื้อผ้า, เครื่องประดับ, เฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์ไอที, อาหารเสริม ฯลฯ
- สินค้าดิจิทัล – อีบุ๊ก, คอร์สออนไลน์, ซอฟต์แวร์, ดนตรี, รูปภาพ
- บริการ – จองที่พัก, นวดสปา, ให้คำปรึกษา
- สินค้า Dropshipping – สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเก็บสต๊อกสินค้าเอง
Shopify ในไทยยังรองรับรูปแบบการขายแบบ Subscription หรือการสมัครสมาชิกรายเดือน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในปี 2026
สินค้าต้องห้ามที่ไม่สามารถจำหน่ายบน Shopify
แม้ Shopify ทำอะไร ได้หลากหลาย แต่ก็มีสินค้าบางประเภทที่ไม่อนุญาตให้ขาย:
- สินค้าผิดกฎหมาย
- อาวุธปืนและชิ้นส่วนอาวุธ
- สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
- สินค้าทางเพศบางประเภท
- ผลิตภัณฑ์ยาเสพติดและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- สินค้าที่ส่งเสริมความรุนแรงหรือการเลือกปฏิบัติ
ก่อนขายของใน Shopify ควรตรวจสอบนโยบายให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการระงับบัญชี เพราะ Shopify คือ แพลตฟอร์มที่เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการซื้อขายที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้
ขั้นตอนการเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์บน Shopify
การเริ่มต้นเว็บไซต์ร้านค้าบน Shopify ไม่ใช่เรื่องยากด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้:
การสมัครใช้งาน Shopify
เริ่มต้นการเดินทางของคุณกับ Shopify ด้วยขั้นตอนการสมัครที่ง่ายดาย:
- เข้าไปที่เว็บไซต์ Shopify – ไปที่ shopify.com และกดปุ่ม “เริ่มต้นฟรี” คุณจะได้รับสิทธิ์ทดลองใช้ฟรี 14 วัน โดยไม่ต้องใส่ข้อมูลบัตรเครดิต
- กรอกข้อมูลพื้นฐาน – ใส่อีเมล ชื่อร้าน และข้อมูลส่วนตัวของคุณ ชื่อร้านจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ URL ร้านค้าของคุณ (mystore.myshopify.com) แต่คุณสามารถเปลี่ยนเป็นโดเมนของคุณเองในภายหลัง
- ตอบคำถามเกี่ยวกับธุรกิจ – Shopify จะถามคำถามเกี่ยวกับประเภทธุรกิจ, ยอดขายปัจจุบัน และว่าคุณกำลังย้ายมาจากแพลตฟอร์มอื่นหรือไม่ ข้อมูลนี้จะช่วยให้ Shopify แนะนำฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับคุณ
- ตั้งค่าที่อยู่ร้านค้า – กรอกที่อยู่ทางธุรกิจของคุณซึ่งจะถูกใช้สำหรับการคำนวณภาษีและการจัดส่ง
- เลือกแผนที่เหมาะสม – Shopify มีแผนราคาหลายระดับ ในปี 2026 แผนเริ่มต้นอยู่ที่ $29/เดือน, แผน Shopify อยู่ที่ $79/เดือน และแผน Advanced Shopify อยู่ที่ $299/เดือน สำหรับ Shopify ในไทย มีการแสดงราคาในสกุลเงินบาทเพื่อความสะดวก
- เชื่อมต่อโดเมนของคุณ – คุณสามารถซื้อโดเมนใหม่ผ่าน Shopify และใช้โดเมน myshopify.com ฟรี หรือเชื่อมต่อโดเมนที่มีอยู่แล้ว โดเมนที่เป็นมืออาชีพจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าออนไลน์ของคุณ
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที และคุณก็จะมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ พร้อมใช้งานแล้ว!
การปรับแต่งเว็บไซต์ด้วยธีมสำเร็จรูป
การสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขายของใน Shopify เพราะเป็นหน้าตาของธุรกิจออนไลน์คุณ:
- เลือกธีมที่เหมาะกับธุรกิจ – Shopify มีธีมมากกว่า 100+ แบบ โดยธีมของ Shopify ทั้งฟรีและเสียเงิน (ประมาณ $180-350) แต่ละธีมมาพร้อมกับการออกแบบและฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน เลือกให้เหมาะกับประเภทสินค้าของคุณ
- ปรับแต่งธีม – ใช้ Theme Editor ของ Shopify เพื่อปรับแต่ง:
- สีและฟอนต์ – ปรับแบรนด์ดิ้งให้ตรงกับอัตลักษณ์ของคุณ
- เลย์เอาต์ – จัดเรียงส่วนต่าง ๆ ของหน้าเว็บ ไม่ว่าจะเป็นสไลด์โชว์ คอลเลคชั่นสินค้า หรือรีวิวลูกค้า
- เพิ่มเนื้อหา – เพิ่มรูปภาพคุณภาพสูง วิดีโอ และข้อความที่จูงใจลูกค้า
- ปรับแต่งเมนูนำทาง – ออกแบบเมนูที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างหน้าเว็บพื้นฐาน – สร้างหน้าสำคัญเช่น:
- หน้าหลัก (Homepage)
- หน้าเกี่ยวกับเรา (About Us)
- หน้านโยบายการจัดส่งและการคืนสินค้า
- หน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- หน้าติดต่อเรา (Contact Us)
- ปรับแต่ง Mobile Experience – ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงผลได้ดีบนมือถือ เพราะกว่า 70% ของการซื้อสินค้าออนไลน์ใน Shopify ในไทย มาจากอุปกรณ์มือถือในปี 2026
- ติดตั้ง Apps ที่จำเป็น – เพิ่มฟีเจอร์ด้วย Apps ที่เหมาะกับร้านค้าของคุณ เช่น:
- แอปป๊อปอัป (Pop-up) เพื่อรวบรวมอีเมลลูกค้า
- แอปแสดงความเร่งด่วน (Urgency)
- แอปรีวิวและคะแนนสินค้า
Shopify ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ตอบสนอง (Responsive Design) มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์แบบไหนก็ตาม
การเพิ่มสินค้าและจัดการสต๊อก
หัวใจสำคัญของการ ขายของบน Shopify คือ การจัดการสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ:
- เพิ่มสินค้า – ไปที่เมนู “Products” ในแดชบอร์ดของคุณและกด “Add product” จากนั้นกรอกข้อมูลสำคัญ:
- ชื่อสินค้า – ใช้ชื่อที่ชัดเจนและมีคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าค้นหา
- คำอธิบาย – เขียนคำอธิบายที่จูงใจและให้รายละเอียดครบถ้วน คำอธิบายที่ดีควรระบุคุณสมบัติ ประโยชน์ และวิธีการใช้งานสินค้า
- รูปภาพ – อัปโหลดรูปภาพคุณภาพสูงจากหลายมุมมอง (Shopify แนะนำขนาด 2048 x 2048 พิกเซล)
- ราคา – ตั้งราคาปกติและราคาโปรโมชั่น (ถ้ามี)
- รหัสสินค้า (SKU) – กำหนดรหัสสินค้าเพื่อการจัดการสต๊อกที่ดี
- ตัวเลือกสินค้า (Variants) – สำหรับสินค้าที่มีหลายตัวเลือก เช่น สี ขนาด หรือวัสดุ:
- สร้างตัวเลือก (Options) และตัวแปร (Variants)
- กำหนดราคาและจำนวนสต๊อกที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละตัวแปร
- อัปโหลดรูปภาพเฉพาะสำหรับแต่ละตัวแปร
- จัดการสต๊อก – Shopify มีระบบจัดการสต๊อกที่มีประสิทธิภาพ:
- ติดตามสต๊อก – เปิดใช้งานการติดตามสต๊อกเพื่อให้ Shopify ปรับปริมาณโดยอัตโนมัติเมื่อมีการขาย
- การแจ้งเตือนสต๊อกต่ำ – ตั้งค่าการแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด
- นโยบายการสั่งซื้อเกินสต๊อก – กำหนดว่าจะอนุญาตให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าที่หมดสต๊อกหรือไม่
- การนำเข้า/ส่งออกข้อมูลสินค้า – ใช้ไฟล์ CSV เพื่ออัปเดตสินค้าจำนวนมากในคราวเดียว
- จัดหมวดหมู่สินค้า – จัดระเบียบสินค้าของคุณด้วย:
- Collections – จัดกลุ่มสินค้าตามประเภท เทศกาล หรือโปรโมชัน
- Tags – เพิ่มแท็กเพื่อให้ลูกค้าค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น
- Collection Automation – สร้างเงื่อนไขให้สินค้าถูกเพิ่มเข้า Collection โดยอัตโนมัติ
- SEO สำหรับสินค้า – ปรับแต่ง SEO ให้สินค้าติดอันดับใน Google:
- เพิ่ม Meta Title และ Description ที่มีคีย์เวิร์ดเกี่ยวข้อง
- ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพและใส่ Alt Text
- สร้าง URL ที่เป็นมิตรกับ SEO
Shopify ในปี 2026 ยังได้เพิ่มฟีเจอร์การสร้าง QR Code สำหรับแต่ละสินค้า เพื่อรองรับการขายแบบ O2O (Online to Offline) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมใน Shopify ในไทย
การตั้งค่าการชำระเงินและการจัดส่ง
การตั้งค่าระบบชำระเงินและการจัดส่งที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญสำหรับประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่น ทำให้ ขายของใน Shopify ได้มากขึ้น:
- การตั้งค่าการชำระเงิน – Shopify รองรับวิธีการชำระเงินหลากหลาย:
- Shopify Payments – ระบบชำระเงินในตัวของ Shopify ที่ช่วยประหยัดค่าธรรมเนียม
- บัตรเครดิต/เดบิต – Visa, Mastercard, American Express, JCB
- E-wallet – PayPal, Apple Pay, Google Pay
- การชำระเงินท้องถิ่น – สำหรับ Shopify ในไทย รองรับ PromptPay, TrueMoney, Mobile Banking
- ชำระเงินปลายทาง (COD) – เหมาะสำหรับตลาดที่ลูกค้ายังไม่คุ้นเคยกับการชำระเงินออนไลน์
- การตั้งค่าภาษี – Shopify ช่วยคำนวณภาษีโดยอัตโนมัติ:
- ตั้งค่าอัตราภาษีตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
- กำหนดประเภทสินค้าที่ต้องเสียภาษีและได้รับการยกเว้น
- ใน Shopify มีฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ e-Tax Invoice ของกรมสรรพากรไทย
- การตั้งค่าการจัดส่ง – Shopify มีตัวเลือกการจัดส่งที่ยืดหยุ่น:
- โซนการจัดส่ง – กำหนดพื้นที่จัดส่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- อัตราค่าจัดส่ง – ตั้งราคาตามน้ำหนัก, มูลค่าคำสั่งซื้อ, หรืออัตราคงที่
- การจัดส่งฟรี – กำหนดเงื่อนไขการจัดส่งฟรี เช่น สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
- การคำนวณอัตราแบบเรียลไทม์ – เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการจัดส่งเช่น Kerry, Flash, Thailand Post, J&T เพื่อคำนวณค่าจัดส่งแบบเรียลไทม์
- การติดตามพัสดุ – ให้ลูกค้าติดตามสถานะการจัดส่งได้
- การตั้งค่าการเก็บเงิน (Checkout) – ปรับแต่งกระบวนการสั่งซื้อ:
- กำหนดว่าต้องการให้ลูกค้าลงทะเบียนก่อนสั่งซื้อหรือไม่
- ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกค้า เช่น หมายเลขโทรศัพท์หรือวันเกิด
- เพิ่มส่วนลดโปรโมชั่น (Promotional codes)
- ตั้งค่าอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ
- การบริหารคำสั่งซื้อ – จัดการคำสั่งซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ:
- พิมพ์ใบเสร็จและป้ายจ่าหน้าพัสดุโดยตรงจากแดชบอร์ด
- ติดตามสถานะการชำระเงินและการจัดส่ง
- ส่งอีเมลอัปเดตให้ลูกค้า
- ตั้งค่าการคืนเงินและนโยบายการคืนสินค้า
Shopify ดีไหม ในแง่ของการจัดการชำระเงินและการจัดส่ง? คำตอบคือ “ใช่” เพราะ Shopify รองรับทั้งร้านค้าขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และมีตัวเลือกที่ยืดหยุ่นให้คุณปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของธุรกิจคุณได้
เทคนิคการปรับแต่งและโปรโมตร้านค้าเพิ่มเติม
หลังจากที่คุณได้ตั้งค่าพื้นฐานเสร็จเรียบร้อย ถึงเวลาเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าเพื่อเพิ่มยอดขายและการเข้าชม นี่คือเทคนิคสำหรับ ขายของบน Shopify ให้ประสบความสำเร็จ:
- การทำ SEO ขั้นสูง – เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google:
- ปรับแต่งโครงสร้าง URL – สร้าง URL ที่กระชับและมีคีย์เวิร์ดสำคัญ
- เพิ่ม Schema Markup – ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและแสดงผลใน Rich Snippets
- ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ – บีบอัดรูปภาพและลดขนาดไฟล์ CSS/JavaScript
- สร้าง Content Marketing – เพิ่มบล็อกเพื่อนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ
- Internal Linking – เชื่อมโยงระหว่างหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณเพื่อกระจาย Link Juice
- การทำการตลาดด้วยอีเมล – สร้างฐานลูกค้าที่ภักดีด้วยกลยุทธ์อีเมล:
- Pop-up รวบรวมอีเมล – เสนอส่วนลด 10% สำหรับการสมัครรับข่าวสาร
- อีเมลต้อนรับ – ส่งข้อมูลสำคัญและโปรโมชันพิเศษให้สมาชิกใหม่
- อีเมลรถเข็นที่ถูกทิ้ง – กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าที่เพิ่มในรถเข็นแล้วออกจากเว็บไซต์
- อีเมลหลังการซื้อ – ขอรีวิวสินค้า และแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง
- จดหมายข่าวรายสัปดาห์ – แจ้งโปรโมชันและสินค้าใหม่
- โซเชียลมีเดียและการตลาดคอนเทนต์ – ขยายการเข้าถึงออนไลน์:
- เชื่อมต่อร้านค้ากับโซเชียลมีเดีย – Facebook, Instagram, TikTok Shop, LINE OA
- ใช้ Shopping Tags – ทำให้โพสต์ในโซเชียลมีเดียสามารถซื้อได้โดยตรง
- สร้าง UGC (User-Generated Content) – กระตุ้นให้ลูกค้าแชร์รูปภาพสินค้าของคุณ
- Influencer Marketing – ร่วมมือกับ Micro-Influencers ในอุตสาหกรรมของคุณ
- ระบบความภักดีและโปรแกรมสมาชิก – รักษาลูกค้าและกระตุ้นการซื้อซ้ำ:
- โปรแกรมสะสมคะแนน – ให้คะแนนสำหรับการซื้อที่สามารถแลกเป็นส่วนลด
- ระดับสมาชิก – มอบสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าประจำ เช่น จัดส่งฟรี หรือส่วนลดพิเศษ
- โปรแกรมแนะนำเพื่อน – ให้รางวัลทั้งผู้แนะนำและเพื่อนที่ถูกแนะนำ
- การเพิ่มประสิทธิภาพการขาย – เทคนิคเพิ่มยอดขาย:
- Upsell และ Cross-sell – แนะนำสินค้าเพิ่มเติมหรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง
- การแสดงความเร่งด่วน – ใช้ตัวนับถอยหลังสำหรับโปรโมชั่นจำกัดเวลา
- แสดงความจำกัดของสต๊อก – แจ้งลูกค้าเมื่อสินค้าใกล้หมด
- จำนวนผู้กำลังดูสินค้า – แสดงว่ามีลูกค้ากี่คนกำลังดูสินค้านี้อยู่
- Social Proof – แสดงรีวิวและการจัดอันดับสินค้า
- การวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพ – ใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ:
- Shopify Analytics – ติดตามยอดขาย, พฤติกรรมผู้ใช้, และอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า
- Google Analytics – วิเคราะห์แหล่งที่มาของการเข้าชม และพฤติกรรมบนเว็บไซต์
- A/B Testing – ทดสอบเวอร์ชันต่าง ๆ ของหน้าสินค้าเพื่อดูว่าอันไหนขายดีกว่า
- Heat Maps – ดูว่าผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บของคุณอย่างไร
Shopify ในปี 2026 ยังมีฟีเจอร์ AI Marketing Assistant ที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและแนะนำกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ทำให้คุณสามารถปรับแต่งแคมเปญการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้วยเทคนิคการปรับแต่งและโปรโมตเหล่านี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า Shopify ทำอะไรได้มากกว่าแค่เป็นแพลตฟอร์มขายของธรรมดาทั่วไป แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน
Shopify เหมาะกับใครบ้าง?
Shopify คือ แพลตฟอร์มที่เหมาะกับหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะ:
- สินค้าที่เน้นการขาย B2C – เหมาะสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภค ด้วยระบบหน้าร้านที่สวยงามและใช้งานง่าย
- ผู้ที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ – สำหรับผู้ที่ต้องการมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ เป็นของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งมาร์เก็ตเพลส
- ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง – รองรับการเติบโตของธุรกิจได้ดี ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นเล็ก ๆ หรือมีสินค้านับพันรายการ
- ผู้ที่ต้องการระบบจัดการสินค้าที่ใช้งานง่าย – ระบบจัดการสินค้าที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิค
- ธุรกิจที่ต้องการความสามารถในการปรับแต่งสูง – ด้วยระบบธีมและแอปที่หลากหลาย ทำให้ปรับแต่งร้านได้ตามต้องการ
- ธุรกิจ SME – รองรับการขยายธุรกิจ และมีฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายสำหรับธุรกิจ SME ใน Shopify ในไทย
CIPHER ช่วยยกระดับร้านค้าของคุณบน Shopify และพร้อมทำการตลาดแบบครบวงจร!
Shopify คืออะไร (Update 2026) คุณอาจเข้าใจแล้ว แต่การสร้างร้านค้าที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยมากกว่าแค่แพลตฟอร์มที่ดี CIPHER พร้อมช่วยคุณยกระดับร้านค้า Shopify ด้วยบริการครบวงจร:
- ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ Shopify – ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมสร้างร้านค้าที่ตรงใจคุณ ทั้งสวยงามและใช้งานง่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพ SEO – ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO ขั้นสูงที่เรามีประสบการณ์กับร้านค้าออนไลน์มากกว่า 200+ ร้าน
- วางแผนการตลาดดิจิทัลแบบครบวงจร – ตั้งแต่การทำโฆษณา Google, Facebook ไปจนถึงการทำ Content Marketing ที่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ
- ดูแลและอัปเดตเว็บไซต์ – ไม่ต้องกังวลกับการอัปเดตระบบหรือปัญหาทางเทคนิค เรามีทีมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
- วิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มยอดขาย – ใช้ข้อมูลจริงมาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ที่กำลังเริ่มต้น หรือธุรกิจที่ต้องการยกระดับร้านค้าออนไลน์ CIPHER พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน
สรุป
Shopify คืออะไร (Update 2026 )เชื่อว่าบทความนี้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ คงได้ทราบดีแล้วว่า Shopify คือ แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ที่ครบวงจร ใช้งานง่าย และรองรับการเติบโตของธุรกิจ
แต่การมีแพลตฟอร์มที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การจะประสบความสำเร็จในการขายของใน Shopify ต้องอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่ดี และการปรับปรุงร้านค้าอย่างต่อเนื่อง CIPHER พร้อมช่วยเหลือคุณ ด้วยบริการครบวงจรที่จะทำให้ร้านค้า Shopify ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน!
คำถามที่พบบ่อย
Shopify คืออะไร และเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน?
Shopify มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
ขายของบน Shopify ต้องทำอย่างไรบ้าง?
การขายของบน Shopify สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- สมัครสมาชิก Shopify และเลือกแผนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
- เลือกและปรับแต่งธีมให้ตรงกับแบรนด์ของคุณ
- เพิ่มสินค้า พร้อมรูปภาพและคำอธิบายที่ละเอียด
- ตั้งค่าการชำระเงินและการจัดส่ง
- ปรับแต่ง SEO และเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดีย
- เริ่มโปรโมตร้านค้าและขายสินค้า



