โลกของการค้นหาออนไลน์กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว! ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนค้นหาข้อมูล เจ้าของธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน เพราะเทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจออนไลน์
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงวิธีการทำ SEO ยุคใหม่ที่เรียกว่า ASEO (Adaptive Search Engine Optimization) และวิธีรับมือกับ AI SEO ที่กำลังเปลี่ยนโลกการค้นหาให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
Table of Contents
ทำไม SEO แบบเดิมไม่พอแล้ว? เมื่อยุค AI SEO มาถึง
โลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการค้นหาด้วย Google เพียงอย่างเดียว ปัจจุบันผู้คนหันไปใช้ ChatGPT, Perplexity และเครื่องมือ AI อื่น ๆ มากขึ้น การจะทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักจึงไม่ใช่แค่การติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่ต้องปรับตัวให้ AI เลือกแบรนด์คุณไปแสดงด้วย นี่คือเหตุผลที่เทคนิคทำ SEO ให้ได้ผลในยุค AI กลายเป็นเรื่องสำคัญ
หากคุณยังคงทำ SEO แบบเดิม (Traditional SEO) ที่เน้นแค่:
- On-site SEO (ปรับแต่งองค์ประกอบภายในเว็บ)
- Off-site SEO (สร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก)
- Technical SEO (ปรับปรุงเว็บไซต์ในเชิงเทคนิค)
คุณอาจพลาดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไปใช้ AI ในการค้นหาข้อมูล
ASEO คืออะไร? ทำไมต้องรู้จักเทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI?
ASEO หรือ Adaptive Search Engine Optimization เป็นแนวคิดการทำ SEO รูปแบบใหม่ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุค AI SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งบน Google และแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งอนาคตของ SEO จะเปลี่ยนไปด้วย AI อย่างแน่นอน
ASEO แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:
1. Discovery - ทำให้ AI ค้นพบเว็บคุณได้ง่ายขึ้น
การทำให้ AI รู้จักและเข้าใจเว็บไซต์ของคุณ ประกอบด้วย:
- การสร้างเนื้อหาที่เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้
- การส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังเครื่องมือค้นหา
- การคาดการณ์คำถามที่ผู้ใช้อาจมีในอนาคต
2. Engagement - สร้างการมีส่วนร่วม
การทำให้ผู้ใช้สนใจและมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์:
- เตรียมเนื้อหาสำหรับคำถามถัดไปที่ผู้ใช้อาจมี
- สร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ (บทความ, อินโฟกราฟิก, วิดีโอ)
- ได้รับการรับรองจาก Reviews และ Social Proofs
3. Results - มุ่งสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ
การสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว:
- สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกแง่มุม
- เขียนจากประสบการณ์และความเป็นจริง
- มอบเนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
7 องค์ประกอบสำคัญของ ASEO ที่ช่วยในเทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI
1. Technical Issues - แก้ปัญหาเทคนิคให้ถูกจุด
ปัญหาทางเทคนิคส่งผลโดยตรงต่อการทำ SEO หากเว็บไซต์มีปัญหา อาจทำให้ถูกค้นพบยาก ถูกจัดทำดัชนีช้า และทำให้ Traffic หายไป จากประสบการณ์ของ CIPHER ที่ดูแลเว็บไซต์มากกว่า 300 เว็บ พบว่า 3 ใน 10 เว็บไซต์มีปัญหาเทคนิคที่ต้องปรับปรุง
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ:
1.1 Crawling Ability – ทำให้ Googlebot เข้าถึงเนื้อหาได้
- แก้ไขหน้าเว็บที่เสีย (Broken Pages)
- ใช้ Robots.txt ควบคุมการเข้าถึง
- ปรับปรุง Internal Link ให้เข้าถึงทุกหน้าได้ง่าย
1.2 Indexing Ability – ทำให้ Google จัดทำดัชนีเว็บคุณได้ดี
- ใช้ Meta tags อย่าง ‘index’ และ ‘noindex’ ให้ถูกต้อง
- ใส่ Schema Markup ด้วย Yoast SEO เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหา
- ใช้ Canonical tags ระบุหน้าหลักที่ต้องการให้จัดอันดับ
1.3 Architecture Site – จัดโครงสร้างเว็บให้ใช้งานง่าย
- ใช้ Flat Site Structure ที่ทุกหน้าเชื่อมโยงจากหน้าแรก
- ออกแบบระบบนำทางที่ชัดเจนและใช้งานง่าย
1.4 Page Experience – ทำให้เว็บโหลดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ปรับปรุง Page Load Speed ลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript
- ให้ความสำคัญกับ Core Web Vitals
- ใช้แนวคิด Mobile-first ในการออกแบบ
2. SXO (Search Experience Optimization)
SXO คือ การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ให้สอดคล้องกับ SEO เพื่อให้เว็บติดอันดับดีควบคู่กับการให้ประสบการณ์ที่ดี
จากข้อมูลพบว่า หน้าเว็บที่มีเวลาเฉลี่ยในการใช้งาน (Avg. time on page) นาน จะถูก Google จัดอันดับดีกว่าหน้าที่ผู้ใช้อยู่ไม่นาน Google มองว่าหน้าที่ดึงดูดให้อยู่นาน มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
วิธีทำ SXO ให้ได้ผล:
- เข้าใจความต้องการของผู้ค้นหา (Search Intent) และสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ Maximize Conversions ผ่านการปรับ CTAs และแบบฟอร์มให้ใช้งานง่าย
- ออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่ายและเหมาะกับมือถือ
3. External Signal - สัญญาณจากภายนอกที่สร้างความน่าเชื่อถือ
External Signal คือ ปัจจัยจากภายนอกเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ได้แก่:
- กิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย – ยิ่งมีส่วนร่วมมาก ยิ่งดี
- คุณภาพของเว็บไซต์อื่นที่ลิงก์มาหาคุณ
- การสร้างแบรนด์
- รีวิวและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
เกร็ดความรู้: การทำ SEO ยุคใหม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับ AI-powered platforms ที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ ASEO และ GEO เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทั้ง Search Engine และ AI กุญแจสำคัญคือการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่น่าเชื่อถือและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้
4. Link Building (Backlink)
การสร้าง Backlink ในยุค AI ต้องเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยสร้างลิงก์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
ข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมีความแตกต่างกัน:
- Google แนะนำให้ทำ Backlink จากเว็บไซต์ท้องถิ่นที่ไว้ใจได้
- AI มองว่าควรสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษและน่าเชื่อถือ
- SearchGPT แนะนำให้ได้ Backlink จากเว็บไซต์ดังระดับโลก
5. SILO-based Structure - จัดหมวดหมู่เนื้อหาให้ชัดเจน
SILO-based Structure คือ การจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน ใช้ Internal Link เชื่อมโยงเนื้อหาประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น หน้าที่พูดถึงการทำจมูก ก็จะเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำจมูกด้วย ช่วยให้ Google เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาและจัดอันดับได้ดีขึ้น
6. High-quality Content - เนื้อหาที่มีคุณภาพตามหลัก E-E-A-T
การสร้างเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T Factor เป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้วัดคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์:
- Experience – นำประสบการณ์ตรงของผู้เขียนมาถ่ายทอดในเนื้อหา แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่ได้จากประสบการณ์จริง
- Expertise – แสดงความเชี่ยวชาญด้วยการเขียนข้อมูลละเอียดและลึกซึ้ง ที่ไม่สามารถพบได้ทั่วไปบนเว็บอื่น
- Authoritativeness – สร้างตัวตนให้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จนเว็บไซต์อื่นและ AI นำเนื้อหาของคุณไปอ้างอิง
- Trustworthiness – นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน โปร่งใส มีแหล่งที่มาชัดเจน
7. Keyword Research & Intent - เข้าใจเจตนาในการค้นหา
Keyword Research & Intent คือ การค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหาจริง พร้อมทำความเข้าใจเจตนาในการค้นหา เพื่อสร้างเนื้อหาที่ตรงความต้องการ
สาระน่ารู้: เทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI ที่สำคัญคือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คุณค่าที่มอบให้ผู้ใช้จะเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณยืนหยัดได้ในทุกยุคสมัย
ประเภทของ Search Intent มี 5 แบบ:
- Informational – ต้องการข้อมูลและความรู้
- Navigational – ต้องการไปที่เว็บไซต์หรือหน้าสินค้าโดยตรง
- Commercial – ต้องการข้อมูลเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อ
- Transactional – ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ
- Local – ต้องการหาข้อมูลในพื้นที่เดียวกัน
AI กับ SEO: ผลกระทบที่เจ้าของแบรนด์ต้องรู้เพื่อใช้เทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI
การใช้ AI SEO เข้ามาช่วยในการทำ SEO มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:
- 54% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ใช้ประโยชน์จาก AI ในการทำงาน
- Google สร้างคำตอบโดย AI ให้กับผลการค้นหา 8.71% ของคีย์เวิร์ดทั้งหมด
- การค้นหาแบบละเอียดที่ใช้คำค้นหาสิบคำขึ้นไป มีโอกาสกระตุ้นให้เกิดการแสดงผลภาพรวม AI สูงถึง 19.10%
เทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI สำหรับแต่ละ Persona
1. นักช้อปออนไลน์ (E-Commerce Shopper)
พฤติกรรม: ค้นหาข้อมูลสินค้า เปรียบเทียบราคา อ่านรีวิว ก่อนตัดสินใจซื้อ
เทคนิค SEO ที่เหมาะสม:
- สร้าง Product Schema Markup ให้ครบถ้วนเพื่อให้ AI เข้าใจข้อมูลสินค้า
- เพิ่มรีวิวสินค้าที่เป็นธรรมชาติพร้อมคะแนน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
- ใช้ภาษาที่เน้นคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้าที่ตรงกับความต้องการผู้ซื้อ
- สร้างเนื้อหาเปรียบเทียบสินค้าที่ละเอียดและเป็นกลาง
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI: “รีวิว [ชื่อสินค้า]”, “[ชื่อสินค้า] ดีไหม”, “เปรียบเทียบ [สินค้า A] กับ [สินค้า B]”
2. ผู้แสวงหาข้อมูล (Information Seeker)
พฤติกรรม: ต้องการข้อมูลเชิงลึก วิธีการแก้ปัญหา หรือคำอธิบายเกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง
เทคนิค SEO ที่เหมาะสม:
- สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกแง่มุม (Comprehensive Content)
- ใช้โครงสร้าง SILO เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
- แทรก FAQ Schema Markup เพื่อตอบคำถามที่พบบ่อย
- ใช้รูปแบบการนำเสนอที่หลากหลาย (ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก)
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI: “วิธีการ [ทำสิ่งหนึ่ง]”, “[หัวข้อ] คืออะไร”, “อธิบาย [แนวคิด]”
3. ผู้ประกอบการและนักการตลาด (Business Owner & Marketer)
พฤติกรรม: ค้นหาข้อมูลเชิงกลยุทธ์ เทรนด์ตลาด และเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ
เทคนิค SEO ที่เหมาะสม:
- สร้างเนื้อหาที่มีข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ (Expert Insights)
- นำเสนอกรณีศึกษาและตัวอย่างความสำเร็จที่วัดผลได้
- ใช้ข้อมูลและสถิติล่าสุดอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- จัดทำ How-to Guide และ Checklist ที่นำไปใช้ได้จริง
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI: “กลยุทธ์ [การตลาด] ปี 2025”, “เครื่องมือ [วัตถุประสงค์]”, “วิธีเพิ่ม [KPI ทางธุรกิจ]”
4. ผู้ใช้งานโมบายล์ (Mobile User)
พฤติกรรม: ค้นหาข้อมูลระหว่างเดินทางหรือทำกิจกรรมอื่น ต้องการข้อมูลรวดเร็ว กระชับ
เทคนิค SEO ที่เหมาะสม:
- ปรับปรุง Mobile UX ให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
- ใช้ Accelerated Mobile Pages (AMP) เพื่อโหลดเร็ว
- จัดเนื้อหาให้อ่านง่าย มีหัวข้อย่อยชัดเจน สแกนได้เร็ว
- ใส่ Local Schema Markup สำหรับค้นหาในพื้นที่
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI: “ร้าน [บริการ] ใกล้ฉัน”, “เปิดกี่โมง [สถานที่]”, “วิธี [ทำอะไรบางอย่าง] เร็ว ๆ”
5. ผู้ใช้งาน Voice Search (Voice Search User)
พฤติกรรม: ค้นหาด้วยเสียงผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะ ใช้ประโยคคำถามแบบธรรมชาติ
เทคนิค SEO ที่เหมาะสม:
- ปรับเนื้อหาให้ตอบคำถามโดยตรง (Direct Answer Content)
- ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นทางการมากเกินไป
- สร้าง FAQ ที่ตอบคำถามพื้นฐานอย่างครบถ้วน
- ใช้ Long-tail Keyword ที่เป็นประโยคคำถาม
ตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI: “ทำอย่างไรให้ [เป้าหมาย]”, “ทำไม [บางสิ่ง] ถึง [เกิดขึ้น]”, “อะไรคือ [สิ่งที่ดีที่สุด] สำหรับ [สถานการณ์]”
- ข้อมูลที่ AI สรุปมีความละเอียด โดยเฉลี่ยประมาณ 4,342 ตัวอักษร
- เว็บไซต์ที่ถูกอ้างอิงใน Google AI Overviews ส่วนใหญ่ (84.72%) เป็นเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1-10 ในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ
คีย์เวิร์ดที่กระตุ้น AI ให้แสดงผล
คีย์เวิร์ดที่ทำให้ AI แสดงผลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้อมูลล่าสุดพบว่า:
- คำถามประเภท “คืออะไร” เพิ่มขึ้น 20%
- คำถามประเภท “วิธีการ” เพิ่มขึ้น 15%
- คำถามที่มีวลี “อาการของ” เพิ่มขึ้นประมาณ 12%
- คำถามที่มีคำว่า “การรักษา” เพิ่มขึ้น 10%
คีย์เวิร์ดแบบ long-tail ที่มีความเฉพาะเจาะจง แม้จะมีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่มักกระตุ้นให้เกิดการแสดงผล AI Overviews มากกว่า
GEO - อนาคตใหม่ของ SEO ที่เจ้าของแบรนด์ต้องรู้
GEO (Generative Engine Optimization) เป็นแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นการปรับแต่งเนื้อหาให้ AI เลือกแสดงผลเมื่อผู้ใช้ค้นหา
เมื่อก่อนเราทำการตลาดแค่ Google ก็พอ แต่ปัจจุบันผู้คนหันไปใช้ ChatGPT, Perplexity และเครื่องมือ AI อื่น ๆ มากขึ้น การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI เลือกเว็บไซต์คุณ
3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ AI เลือกเว็บไซต์คุณมาแสดง:
- Authoritative List Mentions – การติดอันดับดีในการค้นหาทั้ง Google, Bing
- Awards, accreditations, affiliates – การมีรางวัลหรือการรับรอง
- Online Reviews – รีวิวบนเว็บไซต์ใหญ่ ๆ เช่น Amazon, CNet
ปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญ:
- Social Sentiment
- Customer Examples & Usage Data
- Google Website Authority
- Local Business Review
แนวทางเฉพาะสำหรับแต่ละ AI
Perplexity: เน้นการติดอันดับบน Google, มี Online Review, Award และทำ Backlink
ChatGPT: คล้ายกับ Perplexity แต่เปลี่ยนจาก Google เป็น Bing
Gemini: เหมือนกับทั้ง Perplexity และ ChatGPT แต่สำหรับการค้นหาแบบ Local Recommendation ให้ความสำคัญกับ Local Business Review
ความท้าทายในยุคนี้คือการเป็น Zero-click search ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บเพราะ AI สรุปข้อมูลให้หมดแล้ว คุณจึงต้องทำให้ผู้ที่เข้าเว็บ convert ให้ได้มากที่สุด
เครื่องมือ AI ที่ช่วยในเทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI
ปัจจุบันมีเครื่องมือ AI SEO มากมายที่ช่วยในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่:
- Gemini – ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดและสร้างเนื้อหา SEO
- Ahrefs – วิเคราะห์คีย์เวิร์ด เนื้อหา การสร้างลิงก์ และติดตามอันดับ
- Frase – ช่วยสร้างเนื้อหา SEO ปรับเนื้อหา เขียนหัวข้อ และวางโครงสร้าง
- Surfer SEO – วิเคราะห์เนื้อหาเปรียบเทียบกับเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ
บริการ SEO จาก CIPHER - เทคนิคทำ SEO ให้เจอด้วย AI สำหรับธุรกิจของคุณ
CIPHER พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกดิจิทัลด้วยบริการ AI SEO ครบวงจร:
ASEO Audit & Strategy
AI-Ready Content Creation
Technical SEO Overhaul
Authority Building Package
บริการ SEO จาก CIPHER
บริการ SEO จาก CIPHER มีการติดตามและวิเคราะห์ผลการแสดงผลของเว็บไซต์คุณทั้งบน Search Engine และ AI-powered platforms อย่างต่อเนื่อง
สรุป
การทำ SEO ยุคใหม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับ AI-powered platforms ที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ ASEO และ GEO เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทั้ง Search Engine และ AI กุญแจสำคัญคือการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่น่าเชื่อถือและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คุณค่าที่มอบให้ผู้ใช้คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ยืนหยัดได้ตลอดไป
พร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงหรือยัง? ติดต่อ CIPHER วันนี้ ให้เราช่วยพาธุรกิจคุณก้าวทันโลก SEO ยุค AI!