Table of Contents
Shopify vs WordPress แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์อันไหนดีกว่ากัน!
ในยุคที่ E-Commerce กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าออนไลน์จึงเป็นเรื่องสำคัญ หลาย ๆ คนอาจจะกำลังตัดสินใจอยู่ระหว่าง Shopify vs WordPress ซึ่งเป็น 2 ตัวเลือกยอดนิยม บทความนี้จะพาไปเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของทั้งสองแพลตฟอร์ม เพื่อตอบคำถามว่า Shopify หรือ WordPress เหมาะกับคุณมากกว่ากัน
เปรียบเทียบ Shopify vs WordPress จุดเด่นและข้อจำกัด
จุดเด่นของ Shopify สำหรับร้านค้าออนไลน์
Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อทำร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมีฟีเจอร์ที่ลงตัวสำหรับการขายของ ไม่ว่าจะเป็นระบบตะกร้าสินค้า การชำระเงิน การจัดส่ง หรือ การออกแบบเทมเพลตร้านค้า ทุกอย่างใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้งเพิ่มเติม Shopify ยังเป็นระบบครบวงจร มีโฮสติ้ง SSL แล้วในตัว แถมยังใช้งานง่ายผ่านอินเตอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้
ความสามารถของ WordPress ในการทำเว็บขายของ
ในขณะที่ WordPress ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำร้านค้าออนไลน์โดยตรง แต่ก็สามารถทำได้ด้วยการติดตั้งปลั๊กอินอย่าง WooCommerce ข้อดีของ WordPress คือมีความยืดหยุ่นสูง ปรับแต่งได้ไม่จำกัด ทั้งในแง่ของดีไซน์และฟังก์ชันการทำงาน อีกทั้งยังมีปลั๊กอินฟรีมากมายให้เลือกใช้ อย่างไรก็ตาม WordPress ก็มีความซับซ้อนมากกว่า ต้องติดตั้งและจัดการระบบโฮสติ้งเอง รวมถึงต้องอัปเดตปลั๊กอินอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูประเด็นสำคัญที่มือใหม่ควรรู้เกี่ยวกับ Differences between WordPress and Shopify กัน
Differences between WordPress and Shopify ที่มือใหม่ต้องรู้
- Shopify มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ส่วน WordPress ฟรี แต่ต้องเสียค่าโดเมน โฮสติ้ง เอง
- Shopify เป็นระบบ All-in-one ส่วน WordPress ต้องติดตั้งปลั๊กอินเสริม
- Shopify ใช้งานง่ายกว่า ส่วน WordPress ปรับแต่งได้ลึกซึ้งกว่า
- Shopify รองรับการสร้างเว็บขายของโดยเฉพาะ ส่วน WordPress เหมาะกับเว็บทุกประเภท
WooCommerce vs Shopify เลือกแพลตฟอร์มไหนดี?
ข้อดีของ WooCommerce สำหรับร้านค้าออนไลน์
- เป็นปลั๊กอินฟรี เจ้าของร้านจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือน
- ออกแบบและปรับแต่งร้านค้าได้อย่างอิสระ ทั้งเทมเพลต ฟังก์ชัน และระบบอื่น ๆ
- มีปลั๊กอินฟรีมากมายที่ช่วยเสริมความสามารถของร้านค้าได้แทบไม่รู้จบ
- เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มหรือบริการอื่น ๆ ของธุรกิจได้ง่าย
จุดเด่นของ Shopify Platform
- ถูกพัฒนามาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ มีฟีเจอร์ครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบ
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ทำเว็บได้เร็ว
- มีแพ็กเกจแบบจ่ายรายเดือนที่รวมค่าโฮสติ้ง SSL และโดเมนแล้ว
- มีทีมซัพพอร์ตให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- รองรับระบบ POS ที่เชื่อมสต๊อกและยอดขายหน้าร้านได้
เปรียบเทียบต้นทุนและค่าใช้จ่าย
- Shopify เริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน แต่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเมื่อใช้เกตเวย์ชำระเงินอื่นนอกจาก Shopify Payments
- WordPress ฟรี แต่เสียค่าโฮสติ้ง โดเมน SSL และปลั๊กอินบางตัว คิดเป็นรายปี ซึ่งถ้าเลือกของคุณภาพดี ก็อาจสูงกว่า Shopify
คู่มือการย้ายร้านค้าจาก Shopify to WordPress
ขั้นตอนการย้ายข้อมูลสินค้า
- Export ข้อมูลสินค้าจาก Shopify เป็นไฟล์ CSV
- สร้างร้านค้าใน WordPress ผ่านปลั๊กอิน WooCommerce
- Import ไฟล์ CSV เข้า WooCommerce โดยใช้ปลั๊กอิน Product CSV Import Suite
การตั้งค่า WooCommerce เบื้องต้น
- เลือกธีมที่รองรับ WooCommerce และติดตั้ง
- ตั้งค่าวิธีการชำระเงิน การจัดส่ง ภาษี ฯลฯ
- ปรับหน้าตาร้านค้าด้วยวิดเจ็ตและช็อตโค้ด
วิธีการนำเข้าข้อมูลลูกค้าและออเดอร์
- Export ข้อมูลลูกค้าจาก Shopify เป็นไฟล์ CSV แล้ว import เข้า WordPress โดยใช้ปลั๊กอิน Import Users from CSV
- ข้อมูลออเดอร์ไม่สามารถ Import ได้โดยตรง แนะนำให้ทยอยป้อนมือครับ
WordPress Compare: เทคนิคการเลือกธีมและปลั๊กอิน
การเลือกธีมที่เหมาะกับร้านค้า
- ธีมควรรองรับ WooCommerce โดยเฉพาะ
- ดีไซน์สวยงาม ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย
- สามารถปรับแต่งองค์ประกอบได้ง่าย
- มีเวอร์ชันใช้ฟรีให้ทดลองก่อน
- เลือกจากผู้พัฒนาที่น่าเชื่อถือ มีผลงานดี ๆ
ปลั๊กอินจำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์
- รองรับการชำระเงินออนไลน์หลากหลาย เช่น PayPal, Stripe
- จัดการค่าจัดส่ง เช่น Table Rate Shipping
- ระบบตะกร้าสินค้า เช่น Yith WooCommerce Wishlist
- ปลั๊กอินเพิ่ม Conversion Rate อย่าง Checkout Field Editor
- ปลั๊กอินเสริม SEO เช่น Yoast SEO
นอกจากการเลือกธีมและปลั๊กอินที่เหมาะสมแล้ว การปรับแต่งหน้าร้านให้ตรงใจลูกค้าก็ช่วยเพิ่มยอดขายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เทคนิคการปรับแต่งหน้าร้านให้น่าสนใจ
- ใช้รูปภาพคุณภาพสูง ถ่ายเองหรือซื้อจากแหล่งภาพสต๊อก
- จัด layout ให้เรียบง่าย โฟกัสไปที่รายละเอียดสินค้า
- เลือกใช้สีให้สอดคล้องกับแบรนด์และรูปแบบสินค้า
- ออกแบบ Banner โปรโมชันให้ดูน่าสนใจ เช่น ลดราคา ส่งฟรี
- แบ่งหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน ค้นหาง่าย
สรุป
จากการเปรียบเทียบ Shopify vs WordPress ในแง่มุมต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าทั้งสองแพลตฟอร์มต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งเหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ในลักษณะที่ต่างกันไป
Shopify เป็นตัวเลือกที่ครบวงจรและใช้งานง่ายกว่า เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโค้ดหรือการดูแลระบบเบื้องหลัง แต่ก็มีข้อจำกัดด้านการปรับแต่งเล็กน้อยเหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการค้าขาย E-Commerce ผ่านช่อทางตัวเอง
ในขณะที่ WordPress นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นกว่ามาก สามารถกำหนดค่าและติดตั้งส่วนเสริมได้อย่างอิสระ จึงเหมาะกับร้านค้าที่ต้องการฟีเจอร์ที่หลากหลายหรือการปรับแต่งเฉพาะทาง แต่ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคมากกว่า และต้องคอยจัดการดูแลเว็บไซต์เอง
คำถามที่พบบ่อย
Shopify หรือ WordPress เหมาะกับมือใหม่?
ต้นทุนเริ่มต้นของแต่ละแพลตฟอร์มเท่าไหร่?
Shopify มีแผนเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน รวมโฮสติ้ง SSL และโดเมน ส่วน WordPress ฟรี แต่ต้องหาซื้อ Hosting และโดเมนเอง ซึ่งราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 10,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Hosting ที่เลือก
ระบบชำระเงินแบบไหนรองรับบ้าง?
ย้ายข้อมูลระหว่าง 2 แพลตฟอร์มได้หรือไม่?
สามารถย้ายข้อมูลสินค้าจาก Shopify ไป WordPress ได้ โดยการ export ข้อมูลเป็น CSV แล้วนำเข้า WooCommerce ส่วนข้อมูลลูกค้าสามารถ Import ได้ผ่านปลั๊กอินเสริมครับ แต่ข้อมูลออเดอร์อาจต้องป้อนมือ เพราะรูปแบบระหว่างสองแพลตฟอร์มไม่เหมือนกัน
ต้องอัปเดตระบบบ่อยแค่ไหน?
WordPress แนะนำให้อัปเดตปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2-3 เดือนต่อครั้ง เพื่ออุดช่องโหว่และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ส่วน Shopify จะอัปเดตฟีเจอร์และความปลอดภัยให้อัตโนมัติ โดยผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม