เปรียบเทียบ Shopify vs Alidropship อันไหนดีกว่ากัน ในปี 2025

เปรียบเทียบ Shopify vs Alidropship

Table of Contents

เปรียบเทียบ Shopify vs Alidropship อันไหนดีกว่ากัน ในปี 2025!

ในปี 2025 ผู้ประกอบการ E-commerce จำนวนมากต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า Shopify หรือ Alidropship เหมาะสำหรับธุรกิจของเขามากกว่ากัน ทั้งสองเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับการขายสินค้าออนไลน์ โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การตัดสินใจเลือกระหว่าง Shopify vs Alidropship นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น งบประมาณ ประเภทสินค้า ฟีเจอร์ที่ต้องการ และเป้าหมายในระยะยาว

ทำความรู้จัก Shopify vs Alidropship คืออะไร?

Shopify และ Alidropship เป็นสองแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยผู้ประกอบการในการสร้างร้านค้าออนไลน์และบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่มีความแตกต่างกันในแง่ของคุณสมบัติ กลุ่มเป้าหมาย และโครงสร้างราคา ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงความเหมือนและความต่างของทั้งสองแพลตฟอร์มจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเลือกใช้

Shopify คืออะไร?

Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่การออกแบบหน้าร้าน การจัดการสินค้าคงคลัง ไปจนถึงการชำระเงินและจัดส่งสินค้า Shopify มีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาดตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีระบบวิเคราะห์และรายงานที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจได้อีกด้วย

Alidropship คืออะไร?

Alidropship เป็นปลั๊กอินและธีมสำหรับ WordPress ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อรองรับการทำ Dropshipping โดยเฉพาะ โดยมีคุณสมบัติหลักคือการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม AliExpress เพื่อนำเข้าสินค้า ข้อมูล และรูปภาพได้อย่างอัตโนมัติ Alidropship ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อ การกำหนดราคาสินค้าอย่างชาญฉลาด และ Alidropship Chrome ที่ช่วยให้ค้นหาและเพิ่มสินค้าจาก AliExpress ได้โดยตรงจากเบราว์เซอร์

Shopify vs Alidropship สำหรับผู้เริ่มต้น เลือกอะไรดี?

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การเลือกระหว่าง Shopify หรือ Alidropship อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย Shopify มีข้อได้เปรียบในแง่ของความง่ายในการใช้งาน เนื่องจากถูกออกแบบมาให้รองรับผู้ใช้ทุกระดับ ขณะที่ Alidropship เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์กับ WordPress มากกว่า อย่างไรก็ตาม หากต้องการเริ่มต้นทำ Dropshipping จาก AliExpress อย่างจริงจัง Alidropship ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำ Dropshipping โดยเฉพาะ

กลุ่มเป้าหมายของแต่ละแพลตฟอร์ม

แม้ว่า Shopify และ Alidropship จะมีเป้าหมายหลักในการช่วยให้ผู้ใช้สร้างร้านค้าออนไลน์ แต่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของทั้งสองแพลตฟอร์มก็มีความแตกต่างกัน

Shopify เหมาะสำหรับ:

  • ธุรกิจที่ต้องการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร
  • ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก แต่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ด้วยตนเอง
  • ธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลายประเภท และต้องการระบบจัดการสินค้าคงคลังที่ยืดหยุ่น

Alidropship เหมาะสำหรับ:

  • ผู้ที่สนใจทำ Dropshipping จากสินค้าใน AliExpress เป็นหลัก
  • ผู้ที่มีเว็บไซต์ WordPress อยู่แล้ว และต้องการเพิ่มฟีเจอร์การขายสินค้า
  • ธุรกิจที่ต้องการประหยัดต้นทุนโดยไม่ต้องสต๊อกสินค้าเอง

เปรียบเทียบฟีเจอร์สำคัญ

เมื่อพิจารณาถึงความสามารถและฟีเจอร์ต่างๆ Shopify และ Alidropship มีทั้งจุดร่วมและจุดต่าง เรามาดูที่ฟังก์ชั่นสำคัญๆ เช่น การจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน การจัดส่ง และเครื่องมือทางการตลาด

ระบบการจัดการสินค้า

Shopify มีระบบการจัดการสินค้าที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถเพิ่ม แก้ไข และจัดกลุ่มสินค้าได้อย่างรวดเร็ว มีการแสดงสินค้าคงคลัง รวมถึงตัวเลือกในการนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านไฟล์ CSV ส่วน Alidropship จะโฟกัสไปที่การนำเข้าสินค้าจาก AliExpress เป็นหลัก โดยมีฟีเจอร์ที่ช่วยค้นหา เลือก และนำเข้าสินค้าได้ง่ายขึ้น แต่อาจจะไม่ละเอียดและครอบคลุมเท่า Shopify

ระบบการชำระเงิน

ในด้านการชำระเงิน Shopify รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งบัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร รวมถึงผู้ให้บริการชำระเงินยอดนิยมอย่าง PayPal ทั้งยังมีระบบประมวลผลการชำระเงินในตัวที่ปลอดภัยอย่าง Shopify Payments ด้าน Alidropship รองรับการชำระเงินผ่านทาง PayPal, Stripe และ WooCommerce โดยตรง ซึ่งก็ครอบคลุมวิธีการชำระเงินหลักๆ ที่นิยมเช่นกัน

การจัดการคำสั่งซื้อและการจัดส่ง

เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา Shopify จะรวบรวมคำสั่งซื้อทั้งหมดไว้ในที่เดียว พร้อมแสดงรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นและสามารถอัปเดตสถานะได้ทันที มีการแจ้งเตือนลูกค้าโดยอัตโนมัติ และสามารถพิมพ์ใบปะหน้าเพื่อจัดส่งได้ทันที สำหรับ Alidropship เมื่อได้รับคำสั่งซื้อ ระบบจะส่งข้อมูลคำสั่งซื้อไปยังผู้ขายบน AliExpress โดยอัตโนมัติ ช่วยประหยัดเวลาในการจัดการ แต่อาจมีความยุ่งยากในการติดตามและควบคุมคุณภาพมากกว่า

เครื่องมือการตลาดและการวิเคราะห์

นอกจากระบบหลังบ้านแล้ว เครื่องมือทางการตลาดและการวิเคราะห์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน Shopify มีฟีเจอร์มาตรฐานอย่างบัตรของขวัญ โปรโมชั่นส่วนลด รวมถึงการทำ SEO และรีมาร์เก็ตติ้งแบบครบวงจร แถม App Store ยังมีแอปเสริมให้เลือกมากมาย ระบบวิเคราะห์ของ Shopify ก็แสดงข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม ทั้งยอดขาย, ออเดอร์, ลูกค้า ฯลฯ

ส่วน Alidropship มักใช้เครื่องมือภายนอกในการทำการตลาด เช่น ปลั๊กอิน SEO, Facebook Ads หรือ Google Analytics สำหรับการรายงานผลด้วย โดย Alidropship มีรายงานเบื้องต้นให้ แต่อาจไม่ละเอียดเท่า Shopify อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็น WordPress จึงสามารถใช้ปลั๊กอินเพิ่มเติมเพื่อเสริมความสามารถได้เช่นกัน

ค่าใช้จ่ายและแผนราคา

ราคาเป็นอีกปัจจัยหลักในการตัดสินใจของหลายๆ คน ซึ่งโครงสร้างค่าใช้จ่ายของ Shopify และ Alidropship มีความแตกต่างกันพอสมควร

โครงสร้างราคา Shopify

Shopify ใช้ระบบสมาชิกรายเดือน โดยแบ่งออกเป็น 3 แผนหลักๆ ได้แก่

  • Basic Shopify: $29 ต่อเดือน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก มีฟีเจอร์พื้นฐานครบถ้วน
  • Shopify: $79 ต่อเดือน เหมาะสำหรับธุรกิจที่เติบโตขึ้น ต้องการฟีเจอร์ที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
  • Advanced Shopify: $299 ต่อเดือน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ขั้นสูงสำหรับจัดการธุรกิจครบวงจร

ทุกแผนจะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มเติม หากไม่ได้ใช้ Shopify Payments

โครงสร้างราคา Alidropship

Alidropship Pricing แตกต่างจาก Shopify โดยใช้ระบบเหมาจ่ายเพียงครั้งเดียว ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยราคาแบ่งตามประเภทสินค้า ได้แก่

  • AliDropship Original: $89 สำหรับปลั๊กอิน Alidropship
  • Alidropship Woo: $89 สำหรับปลั๊กอินที่ทำงานร่วมกับ WooCommerce
  • แพ็กเกจ Custom Store: เริ่มต้นที่ $299 สำหรับร้านค้าที่พัฒนาโดย Alidropship

เนื่องจากใช้ระบบ WordPress จึงต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับ Domain และ Hosting เพิ่มเติมด้วย

ค่าใช้จ่ายแฝงที่ต้องระวัง

แม้จะเลือก Shopify หรือ Alidropship แล้วก็ตาม ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจต้องคำนึงถึง เช่น ค่าจัดส่ง, ค่าโฆษณา, ค่าธีมและแอปเสริม, ค่า Transaction Fee ของวิธีการชำระเงินต่างๆ ดังนั้น ควรมองภาพรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาวด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะผันแปรตามยอดขาย ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่าระบบเหมาจ่ายรายเดือน

ข้อดีและข้อจำกัด

แม้ Shopify และ Alidropship จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่ควรพิจารณา เพื่อให้ตัดสินใจเลือกได้อย่างเหมาะสม
ข้อดีของ Shopify vs Alidropship

จุดแข็งของ Shopify

  • ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน Coding หรือ Web Development
  • มี Theme และ App Store ที่หลากหลาย ปรับแต่งและเพิ่มความสามารถได้ตามต้องการ
  • ระบบ Web Hosting, SSL, Payment และ Analytic แบบครบวงจร
  • มีแพลตฟอร์ม Shopify POS สำหรับเปิดหน้าร้านค้าออฟไลน์ได้
  • สำหรับผู้เริ่มต้น มีคู่มือและฐานความรู้ขนาดใหญ่ช่วยเหลือ

จุดแข็งของ Alidropship

  • ปลั๊กอินที่ออกแบบมาสำหรับ Dropship โดยเฉพาะ ใช้งานร่วมกับ AliExpress ได้อย่างลงตัว
  • มีฟีเจอร์ค้นหา เพิ่มสินค้าจาก AliExpress พร้อมข้อมูลราคา สต๊อก รูปภาพได้อย่างง่ายดาย
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เสียค่าปลั๊กอินเพียงครั้งเดียว
  • สำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์ WordPress อยู่แล้ว สามารถเพิ่มฟีเจอร์ขายของได้ทันที
    สามารถปรับแต่งและควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มที่ ด้วยความยืดหยุ่นของ WordPress

ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกใช้งาน

  • Shopify เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวก ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ที่ครบครัน แต่มีข้อจำกัดในการปรับแต่งและมีค่าใช้จ่ายสมาชิกรายเดือน
  • Alidropship เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำ Dropship สินค้าจาก AliExpress มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูง และถูกกว่าในระยะยาว
  • ควรวิเคราะห์ประเภทและแหล่งที่มาของสินค้าที่ต้องการขาย ร่วมกับความรู้ด้านเทคนิคที่มี เพื่อเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะสม
  • แผนระยะยาวและกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงเช่นกัน

การเริ่มต้นใช้งาน

เมื่อเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสมัครใช้งานและติดตั้งร้านค้า ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็มีขั้นตอนที่แตกต่างกันเล็กน้อย

ขั้นตอนการสมัครและติดตั้ง

สำหรับ Shopify ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • สมัครใช้งานที่ Shopify.com เลือกแพ็กเกจที่เหมาะสม
  • เลือกธีมสำหรับหน้าร้าน และปรับแต่งหน้าตาให้สวยงาม
  • เพิ่มสินค้าลงในหน้าร้าน พร้อมกำหนดราคาและรายละเอียดต่าง ๆ
  • ตั้งค่าวิธีการชำระเงินและการจัดส่งสินค้า
  • เชื่อมต่อโดเมน และเริ่มต้นทำการตลาด

ส่วน Alidropship ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ซื้อปลั๊กอิน AliDropship ที่เว็บไซต์ Alidropship.com
  • ติดตั้ง WordPress และอัปโหลดปลั๊กอินที่ซื้อเข้าไป
  • เลือกธีมสำหรับหน้าร้าน ซึ่ง Alidropship มีธีมฟรีและธีมพรีเมียมให้เลือก
  • เชื่อมต่อบัญชี AliExpress เพื่อนำเข้าสินค้าที่ต้องการ
  • ตั้งค่าการจัดการคำสั่งซื้อ การชำระเงิน และปรับแต่งข้อมูลอื่นๆ ของสินค้า

การตั้งค่าเริ่มต้น

หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ควรตั้งค่าพื้นฐานอื่น ๆ ให้เรียบร้อย เช่น

  • ข้อมูลร้านค้าและการติดต่อ
  • SEO Title, Description และ Keyword ของเว็บไซต์และหน้าสินค้า
  • ข้อมูลนโยบายการเปลี่ยนคืนสินค้าและการรับประกัน
  • โค้ดติดตามเพื่อเชื่อมต่อกับ Google Analytics
  • ลิงก์โซเชียลมีเดียของร้านค้า
  • ฟีเจอร์เสริมอื่น ๆ เช่น แคมเปญอีเมล, ระบบสมาชิก, บล็อกในเว็บไซต์ ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร้านค้าได้

เคล็ดลับการใช้งานเบื้องต้น

  • ใช้รูปภาพและวิดีโอสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มอัตราการซื้อ
  • หมั่นอัปเดตหน้าเว็บไซต์ ทดสอบปุ่มกดและลิงก์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ให้ใช้งานได้อย่างราบรื่น
  • ทำ A/B Testing เปลี่ยนแปลงรูปแบบหน้าเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มอัตราการคลิกและการซื้อ
  • ส่งเสริมการตลาดผ่านทางโซเชียลมีเดีย โฆษณา Google Ads หรืออีเมล

ที่สำคัญ อย่าลืมทดสอบกระบวนการสั่งซื้อด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

ความเหมาะสมกับธุรกิจ

ในการเลือกแพลตฟอร์ม ปัจจัยสำคัญคือความเหมาะสมกับประเภทและรูปแบบของธุรกิจ ทั้ง Shopify และ Alidropship ต่างก็มีจุดเด่นที่เหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกัน

H3 : ธุรกิจที่เหมาะกับ Shopify

  • ธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือ มีฟีเจอร์ครบครัน และรองรับการขยายตัวในอนาคต
  • ร้านค้าที่เน้นขายสินค้าแบรนด์ตัวเอง หรือสินค้าที่มีอยู่ในสต๊อก
  • ธุรกิจที่ต้องการเปิดทั้งร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กัน
  • ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค แต่ต้องการร้านค้าออนไลน์ที่ดูดีมีมาตรฐาน

H3 : ธุรกิจที่เหมาะกับ Alidropship

  • ธุรกิจ Dropshipping ที่นำเข้าสินค้าจาก AliExpress เป็นหลัก
  • ผู้ที่ต้องการปรับแต่งเว็บไซต์และเพิ่มเติมฟีเจอร์ได้อย่างอิสระ
  • ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว ด้วยการจ่ายค่าปลั๊กอินเพียงครั้งเดียว
  • ร้านค้าที่มีทรัพยากรจำกัด ไม่ต้องการสต็อกสินค้าเอง

การเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะกับเป้าหมาย

ก่อนตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์ม ลองทบทวนคำถามเหล่านี้กับตัวเอง

  • ธุรกิจของคุณเป็น B2B หรือ B2C มีกลุ่มเป้าหมายใด
  • ต้องการทำการตลาดออนไลน์ผ่านช่องทางใดบ้าง เช่น โซเชียลมีเดีย, อีเมล, Affiliate
  • จะขายสินค้าประเภทไหน มีความหลากหลายหรือเฉพาะทางเพียงใด
  • ต้องการควบคุมและปรับแต่งร้านค้ามากน้อยแค่ไหน
  • พร้อมจะเติบโตและขยายธุรกิจในระยะยาวหรือไม่
  • งบประมาณด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร

การหาคำตอบเหล่านี้ จะช่วยให้การเลือกแพลตฟอร์มง่ายขึ้น และมั่นใจว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้ดีที่สุด

สรุป

การเลือกระหว่าง Shopify vs Alidropship นั้น ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามบริบทของแต่ละธุรกิจ Shopify โดดเด่นด้วยความสะดวก ใช้งานง่าย และฟีเจอร์ที่ครบครัน ส่วน Alidropship เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำ Dropshipping จาก AliExpress โดยเฉพาะ การเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ควรพิจารณาจากประเภทสินค้า กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ ความรู้ด้านเทคนิค และแผนระยะยาว เพื่อให้ได้แพลตฟอร์มที่ลงตัว และเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจในอนาคต

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Shopify vs Alidropship

ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นและรายเดือนในแต่ละแพลตฟอร์มเท่าไหร่?

Shopify มีแผนราคาเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน ส่วน Alidropship มีราคาเริ่มต้นที่ $89 สำหรับค่าปลั๊กอินเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าธีม, ค่าแอป, ค่า Transaction Fee เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ที่เลือกใช้

แพลตฟอร์มไหนที่เหมาะกับมือใหม่มากกว่า?

Shopify เหมาะสำหรับมือใหม่มากกว่า เพราะมีฟีเจอร์ครบครัน ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมากนัก ในขณะที่ Alidropship อาจต้องอาศัยความคุ้นเคยกับ WordPress อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป

ระบบรองรับการขายในประเทศไทยหรือไม่?

ทั้ง Shopify และ Alidropship รองรับการค้าขายในประเทศไทย โดย Shopify รองรับการแสดงราคาสินค้าเป็นสกุลเงินบาท รวมถึงรองรับช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต, PayPal, QR Code ส่วน Alidropship ก็สามารถแสดงสกุลเงินบาทได้ และเพิ่มช่องทางชำระเงินต่างๆ ผ่านทางปลั๊กอินเสริม

ฟีเจอร์การตลาดมีอะไรบ้าง?

Shopify มีฟีเจอร์การทำ SEO, Coupon, Email Marketing, Affiliate Program รวมถึง Facebook, Google Ads Integration ส่วน Alidropship แม้จะไม่ได้มีครบทุกฟีเจอร์ แต่ก็สามารถเพิ่มเติมได้ด้วยปลั๊กอินเสริมใน WordPress ได้เช่นกัน

การจัดการสินค้ามีความต่างกันอย่างไร ?

Shopify มีระบบการจัดการสินค้าแบบครบวงจร รองรับการเพิ่ม แก้ไข ค้นหา และจัดกลุ่มสินค้าอย่างละเอียด ส่วน Alidropship โฟกัสไปที่การนำเข้าสินค้าจาก AliExpress เป็นหลัก มีฟีเจอร์ช่วยให้การเลือกและนำเข้าสินค้าทำได้ง่ายขึ้น แต่ระบบจัดการหลังบ้านอาจจะไม่ละเอียดเท่า Shopify

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ E-Commerce ของ CIPHER ที่พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ของคุณ สามารถดูข้อมูลได้ที่ Services – Shopify Implementation Service และ Services – E-Commerce Template Design & Development

ไม่ว่าคุณจะเลือก Shopify หรือ Alidropship สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาให้เข้าใจถึงความต้องการและเป้าหมายของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง วางแผนการใช้งานแพลตฟอร์มให้รอบด้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการเติบโตในระยะยาว
 

Scroll to Top