Core Web Vitals: มาตรฐานประสบการณ์ผู้ใช้ที่นักพัฒนาเว็บไซต์ต้องรู้

Table of Contents

Core Web Vitals เป็นชุดเมตริกที่ Google พัฒนาขึ้น เพื่อวัดประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ในด้านความเร็ว การตอบสนอง และเสถียรภาพ การปรับ Core Web Vital ให้ได้ตามมาตรฐานไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่ยังช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย ปัจจุบัน Web Vitals กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บที่ต้องการแก้ปัญหา Core Web Vital จำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และในบทความนี้ CIPHER ผู้เชี่ยวชาญในด้านดูแลเว็บไซต์และบริการทำ SEO แบบมืออาชีพ จะพาไปเจาะลึกเทคนิคที่จะช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ!

Core Web Vitals คืออะไร มีอะไรบ้าง?

Core Web Vitals คืออะไร

Core Web Vitals คือ ชุดเมตริกที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อวัดคุณภาพประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ Web Vital เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับผลการค้นหา โดยมุ่งเน้นที่การวัดประสิทธิภาพและการทำงานของเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อผู้ใช้งาน โดย Core Web Vitals ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้

  • Largest Contentful Paint (LCP) – การโหลดเนื้อหา: วัดความเร็วในการแสดงเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรือบล็อกข้อความขนาดใหญ่ เว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพดีควรมีค่า LCP ไม่เกิน 2.5 วินาที
  • First Input Delay (FID) – การตอบสนองต่อการโต้ตอบ: วัดระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ (เช่น คลิกปุ่ม กรอกข้อมูล) จนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์ตอบสนอง ค่า FID ที่ดีควรน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
  • Cumulative Layout Shift (CLS) – เสถียรภาพของการแสดงผล: วัดความเสถียรของเว็บไซต์ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ระหว่างการโหลดหน้าเว็บ เช่น การกระโดดของข้อความหรือปุ่มที่เลื่อนตำแหน่งโดยไม่คาดคิด ค่า CLS ที่ดีควรน้อยกว่า 0.1

การแก้ไข Core Web Vital ให้มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก Core Web Vitals คือ หนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการทำ SEO ที่ Google ใช้พิจารณาในการจัดอันดับผลการค้นหา

ทำไม Core Web Vitals จึงสำคัญ?

Core Web Vitals มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ Google ใช้จัดอันดับผลการค้นหา และช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น เว็บไซต์ที่มี Core Web Vitals ที่ดีจะโหลดเร็ว ตอบสนองไว และมีความเสถียรสูง ส่งผลให้อัตราการตีกลับลดลง ระยะเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า

การให้ความสำคัญกับ Core Web Vitals Update ในปัจจุบันยังช่วยรองรับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และประหยัดทรัพยากรในระยะยาว การลงทุนปรับปรุง Core Web Vitals จึงไม่เพียงเป็นการตอบสนองต่อเกณฑ์การจัดอันดับ SEO ของ Google เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืนอีกด้วย

วิธีปรับปรุง Core Web Vitals

วิธีปรับปรุง Core Web Vitals
การปรับปรุง Core Web Vital ให้มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล โดยวิธีการปรับปรุงองค์ประกอบแต่ละส่วนสามารถช่วยแก้ปัญหา Core Web Vital ให้กับเว็บไซต์ได้ดังนี้

วิธีปรับปรุง LCP

Largest Contentful Paint (LCP) เป็นตัวชี้วัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาสำคัญของเว็บไซต์ การแก้ปัญหา Core Web Vital ในส่วนนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • ลดขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ: ไฟล์มีเดียมักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า การบีบอัดรูปภาพและวิดีโอให้มีขนาดเล็กลงโดยไม่เสียคุณภาพมากนักจะช่วยปรับปรุง LCP ได้อย่างมาก
  • ใช้รูปแบบไฟล์ที่มีประสิทธิภาพ: การเปลี่ยนจากรูปแบบไฟล์ JPEG หรือ PNG เป็น WebP สามารถลดขนาดไฟล์ลงได้ถึง 25 – 35% โดยคุณภาพยังคงใกล้เคียงเดิม
  • ใช้เทคนิค Lazy Loading: การโหลดเฉพาะเนื้อหาที่ผู้ใช้มองเห็นก่อน และโหลดส่วนอื่น ๆ ภายหลังเมื่อผู้ใช้เลื่อนลงมาถึง จะช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น
  • ปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์: การเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีคุณภาพสูง หรือการใช้ CDN (Content Delivery Network) สามารถช่วยลดเวลาในการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้
  • ลดการใช้ CSS และ JavaScript ที่ไม่จำเป็น: โค้ดที่ไม่ได้ใช้งานจะเพิ่มภาระในการประมวลผล การกำจัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปจะช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

การปรับ Core Web Vital ในส่วน LCP ให้มีค่าน้อยกว่า 2.5 วินาที จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้และส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google

วิธีปรับปรุง FID

First Input Delay (FID) วัดการตอบสนองของเว็บไซต์เมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์ด้วย วิธีการแก้ Core Web Vital ในส่วนนี้ประกอบด้วย

  • ลดการทำงานของ JavaScript: JavaScript มักเป็นสาเหตุหลักของ FID ที่สูง เนื่องจากเบราว์เซอร์จะไม่สามารถตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ได้ในขณะที่กำลังประมวลผล JavaScript ควรแบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ หรือเลื่อนการทำงานของ JavaScript ที่ไม่จำเป็นออกไป
  • เพิ่มประสิทธิภาพการโหลด Third-Party Scripts: สคริปต์จากบุคคลที่สาม เช่น เครื่องมือวิเคราะห์ โฆษณา หรือวิดเจ็ตโซเชียลมีเดีย มักเป็นสาเหตุของความล่าช้า ควรโหลดสคริปต์เหล่านี้แบบ asynchronous หรือ defer เพื่อไม่ให้กีดขวางการโต้ตอบของผู้ใช้
  • ลดปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) เช่น WordPress การลดจำนวนปลั๊กอินและใช้เฉพาะที่จำเป็นจะช่วยปรับปรุง FID ได้มาก
    ใช้เทคนิค Code Splitting: การแบ่งโค้ด JavaScript ออกเป็นส่วนย่อย ๆ และโหลดเฉพาะส่วนที่จำเป็น จะช่วยลดปริมาณงานที่เบราว์เซอร์ต้องทำเมื่อโหลดหน้าเว็บ

การปรับ Core Web Vital ในส่วน FID ให้มีค่าต่ำกว่า 100 มิลลิวินาทีจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

วิธีปรับปรุง CLS

Cumulative Layout Shift (CLS) วัดความเสถียรของการแสดงผลหน้าเว็บ การแก้ Core Web Vitals ในส่วนนี้จะช่วยลดความหงุดหงิดของผู้ใช้จากการที่องค์ประกอบเคลื่อนที่โดยไม่คาดคิด เช่น

  • กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอล่วงหน้า: การระบุขนาด width และ height ในแท็ก HTML จะช่วยให้เบราว์เซอร์สงวนพื้นที่ไว้สำหรับองค์ประกอบนั้น ๆ แม้ในขณะที่ยังโหลดไม่เสร็จ
  • จัดการพื้นที่สำหรับโฆษณา: โฆษณามักเป็นสาเหตุสำคัญของ CLS ที่สูง ควรจัดสรรพื้นที่ที่แน่นอนสำหรับโฆษณาตั้งแต่เริ่มโหลดหน้าเว็บ
  • ระมัดระวังการใช้ Font ที่โหลดจากภายนอก: ฟอนต์ที่โหลดช้าอาจทำให้ข้อความกระโดด
  • ควรใช้ font-display: swap หรือเทคนิคอื่น ๆ เพื่อจัดการกับปัญหานี้
  • จัดการเนื้อหาที่โหลดแบบไดนามิก: เนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาหลังจากโหลดหน้าเว็บ เช่น คุกกี้แบนเนอร์หรือการแจ้งเตือน ควรได้รับการออกแบบให้ไม่รบกวนการอ่านหรือการโต้ตอบของผู้ใช้

การปรับ Core Web Vital ในส่วน CLS ให้มีค่าต่ำกว่า 0.1 จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างราบรื่น ไม่รู้สึกหงุดหงิดจากการที่องค์ประกอบต่างๆ เคลื่อนที่ไปมา

เครื่องมือตรวจสอบ Core Web Vitals

การตรวจสอบและติดตามประสิทธิภาพของ Core Web Vital เป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเว็บไซต์ Google ได้พัฒนาเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถวัดและวิเคราะห์ค่า Web Vitals ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Google Search Console: มีรายงาน Core Web Vitals ที่แสดงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งในมุมมองของ Mobile และ Desktop โดยใช้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้ วิธีใช้งาน เริ่มต้นที่เข้าสู่ Google Search Console และเลือกเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นไปที่เมนู “Experience” แล้วเลือก “Core Web Vitals” และเลือกดูรายงานที่แสดงหน้าเว็บที่มีปัญหาแยกตามประเภท (LCP, FID, CLS) และคลิกเข้าไปที่แต่ละกลุ่มเพื่อดูรายละเอียดของหน้าเว็บที่มีปัญหา
  • PageSpeed Insights: เป็นเครื่องมือที่วิเคราะห์ประสิทธิภาพของหน้าเว็บและให้คำแนะนำในการปรับปรุง โดยใช้ทั้งข้อมูลจาก Chrome UX Report (ข้อมูลจริง) และการทดสอบในขณะนั้น โดยวิธีใช้งาน คือ เข้าไปที่ pagespeed.web.dev จากนั้นป้อน URL ของหน้าเว็บที่ต้องการวิเคราะห์ และรอระบบวิเคราะห์ จากนั้นดูผลลัพธ์ทั้งในส่วนของ Field Data (ข้อมูลจริง) และ Lab Data (ข้อมูลจากการทดสอบ) เพื่อนำคำแนะนำไปปรับปรุงเว็บไซต์

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการตรวจสอบคะแนนของ Web Core Vitals ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ช่วยรักษาประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ

แนวทางการปรับแก้ Core Web Vital สำหรับทีมพัฒนา

การแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากทีมพัฒนา ต่อไปนี้คือแนวทางที่ทีมพัฒนาควรพิจารณา ดังนี้

  • ลดการใช้คอนเทนต์ที่ขนาดใหญ่ออก: เช่น วิดีโอ หรือรูปภาพที่หนัก ๆ ที่อาจส่งผลให้ค่า LCP สูง แทนที่ด้วยรูปภาพขนาดเล็กลงหรือใช้การฝังวิดีโอจากแพลตฟอร์มภายนอกแทน
  • ลดขนาดรูปภาพก่อนลง: ปลั๊กอิน Imagify เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ WordPress แต่แม้ไม่ได้ใช้ WordPress ก็สามารถใช้บริการออนไลน์ เพื่อบีบอัดรูปภาพก่อนนำไปใช้ได้ Shortpixel ก็เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการปรับ Core Web Vital
  • เอาโค้ดที่ไม่จำเป็นออก: เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการปิดการใช้งานหรือลบปลั๊กอินที่ไม่ได้ใช้งาน โดยเฉพาะในระบบ WordPress นอกจากนี้ ควรทบทวนและตัดทอนโค้ด CSS และ JavaScript ที่ไม่จำเป็นออกไป
  • เลือก Host ที่มีประสิทธิภาพ: การเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยแก้ปัญหา Core Web Vital ได้มากกว่าครึ่ง ควรเลือกโฮสต์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่เร็ว เสถียร และเชื่อถือได้
  • Lazy Load: การตั้งค่า Lazy Load ช่วยให้รูปภาพและวิดีโอโหลดเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องแสดงผลในหน้าจอของผู้ใช้ ทำให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น สามารถใช้ปลั๊กอินอย่าง Shortpixel หรือ WP Rocket ช่วยได้
  • Minify your CSS/JavaScript: การลดขนาดของไฟล์ CSS และ JavaScript ด้วยการกำจัดช่องว่างและตัวอักษรที่ไม่จำเป็น ช่วยให้ไฟล์เล็กลงและโหลดเร็วขึ้น WP Rocket เป็นหนึ่งในปลั๊กอินที่ช่วยในการทำ minify สำหรับ WordPress
  • ใช้ Cache: การเก็บแคชช่วยให้ข้อมูลเว็บไซต์ถูกบันทึกไว้ ทำให้ผู้ใช้ที่เคยเข้าชมไม่ต้องโหลดเนื้อหาใหม่ทั้งหมด ผู้พัฒนาสามารถใช้ปลั๊กอินแคชอย่าง WP Rocket, LiteSpeed Cache หรือ W3 Total Cache
  • กำหนด Attribute Dimensions: การระบุขนาดของรูปภาพและวิดีโอในโค้ด HTML ช่วยป้องกันการเลื่อนของเลย์เอาต์ (CLS) เพราะเบราว์เซอร์จะจองพื้นที่ไว้ล่วงหน้าสำหรับองค์ประกอบเหล่านั้น

การปรับแก้ Core Web Vital อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างนักออกแบบ นักพัฒนา และทีมการตลาด โดยมุ่งเน้นที่การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามแนวทางที่ Google แนะนำ

สรุป

Core Web Vitals เป็นชุดเมตริกสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับบน Google การปรับ Core Web Vital ให้มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่เพียงแค่การทำตามกฎของ Google แต่เป็นการลงทุนในคุณภาพของเว็บไซต์ที่จะส่งผลต่อความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว
การทำความเข้าใจกับ LCP, FID และ CLS อย่างถ่องแท้ และการใช้เครื่องมือตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหา Core Web Vital ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ตอบสนองไว และมีความเสถียรสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้ใช้และธุรกิจของคุณ

หากคุณกำลังประสบปัญหาในการปรับปรุง Core Web Vitals หรือไม่มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ การปรึกษากับ CIPHER จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า การลงทุนในการแก้ Core Web Vital พร้อมบริการดูแลและพัฒนาเว็บไซต์แบบครบวงจร ตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณก้าวล้ำคู่แข่งและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ได้ในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Core Web Vitals

Core Web Vitals มีผลต่อ SEO มากแค่ไหน?

Core Web Vitals มีผลต่อ SEO เนื่องจาก Google ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า Web Vital เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับผลการค้นหา เป็นส่วนหนึ่งของ “Page Experience Signals” ที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ แต่ Core Web Vitals ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวในการจัดอันดับ โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ซึ่งเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาดีแต่ Core Web Vitals ไม่ดี อาจยังได้อันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่มี Core Web Vitals ดีแต่เนื้อหาไม่มีคุณภาพ

ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดใดมากที่สุด?

จากมุมมองของ Google แล้ว ตัวชี้วัดทั้งสาม (LCP, FID และ CLS) มีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติ ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดที่มีค่าแย่ที่สุดก่อน เพราะมันคือจุดอ่อนที่สุดของเว็บไซต์ที่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้มากที่สุด

หากเว็บไซต์ใช้ WordPress จะปรับปรุง Core Web Vitals ได้อย่างไร?

การแก้ปัญหา Core Web Vital บนเว็บไซต์ WordPress สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • เลือกธีมที่เน้นประสิทธิภาพ: ธีมที่ออกแบบมาอย่างดี จะช่วยปรับปรุง Core Web Vitals ได้มาก
  • ใช้ปลั๊กอินเพื่อประสิทธิภาพ: ปลั๊กอินเช่น WP Rocket, Autoptimize, หรือ LiteSpeed Cache สามารถช่วยปรับปรุง Core Web Vital ได้
  • ปรับ LCP: ติดตั้งปลั๊กอินบีบอัดรูปภาพเช่น Smush หรือ ShortPixel c]tใช้ฟอร์แมตรูปภาพแบบ WebP
  • ปรับ FID: ลดจำนวนปลั๊กอินที่ใช้งานให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น
  • ปรับ CLS: ตรวจสอบว่าธีมกำหนดขนาดรูปภาพและวิดีโออย่างเหมาะสม
  • ทดสอบอย่างสม่ำเสมอ: หลังการเปลี่ยนแปลง ควรทดสอบด้วย PageSpeed Insights หรือ Google Search Console เพื่อติดตามผลการปรับปรุง

เมื่อไหร่จึงควรลงทุนเงินเพื่อปรับปรุง Core Web Vitals?

การตัดสินใจลงทุนเงินเพื่อปรับปรุง Core Web Vital ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้

  1. เมื่อเว็บไซต์เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ: หากเว็บไซต์เป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้ การลงทุนเพื่อแก้ปัญหา Core Web Vital มักคุ้มค่าเสมอ
  2. เมื่อคุณมีปัญหาที่แก้ไขเองไม่ได้: หากคุณได้ลองใช้วิธีพื้นฐานทั้งหมดแล้ว แต่ค่า Core Web Vitals ยังไม่ดีขึ้น อาจถึงเวลาที่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญ เช่น CIPHER ที่มีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับแต่งประสิทธิภาพเว็บไซต์
  3. เมื่อคุณแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง: การมี Core Web Vitals ที่ดีกว่าคู่แข่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณได้เปรียบ
  4. เมื่อค่า Core Web Vitals แย่มาก: หากเว็บไซต์ของคุณมีค่า Core Web Vitals ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ การลงทุนเพื่อปรับปรุงอาจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะคุณกำลังสูญเสียผู้เข้าชมและโอกาสทางธุรกิจ
  5. เมื่อคุณกำลังปรับโฉมเว็บไซต์ใหม่: ช่วงเวลาที่คุณกำลังออกแบบเว็บไซต์ใหม่หรือปรับโฉมครั้งใหญ่เป็นโอกาสดีในการลงทุน
  6. เมื่อคุณมีเว็บไซต์ขนาดใหญ่หรือซับซ้อน: เว็บไซต์ที่มีหลายหน้า มีฟังก์ชันซับซ้อน อาจต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการปรับปรุง Core Web Vitals
  7. เมื่อคุณไม่มีเวลาหรือความรู้ทางเทคนิค: หากคุณไม่มีทีมเทคนิคภายในองค์กรหรือไม่มีเวลาที่จะศึกษาและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง การจ้างผู้เชี่ยวชาญอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า
Scroll to Top