เข้าใจกลไก AI Search ก่อนธุรกิจคุณจะหลุดจากสายตาลูกค้า

AI Search

การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนไป! จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับการพิมพ์คำค้นหาใน Google แล้วคลิกเข้าเว็บไซต์เพื่ออ่านข้อมูล กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่อย่าง “AI Search” ที่ตอบคำถามได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ให้เสียเวลา ถ้าธุรกิจคุณยังไม่ปรับตัว นี่อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่จะทำให้ลูกค้ามองข้ามธุรกิจคุณไปอย่างง่ายดาย

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ AI Search Engine ตั้งแต่ความหมาย กลไกการทำงาน ไปจนถึงวิธีปรับตัวให้ธุรกิจอยู่รอดในยุคของเครื่องมือ AI SEO ที่กำลังเปลี่ยนโลกการค้นหาข้อมูลไปตลอดกาล

Table of Contents

AI Search คืออะไร? ทำไมเราต้องให้ความสำคัญ?

AI Search

AI Search คือ ระบบค้นหาข้อมูลที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการประมวลผล วิเคราะห์ และเข้าใจข้อมูลในเชิงลึก โดยไม่ได้จำกัดแค่การจับคู่คำค้นหากับเว็บไซต์แบบ Search Engine ทั่วไป

จุดเด่นของ AI Search Engine คือ ความสามารถในการตีความบริบท ความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูลได้อย่างแม่นยำ ทำให้การค้นหาข้อมูลด้วย Google หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ เป็นเรื่องง่ายและธรรมชาติมากขึ้น เหมือนได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ

Google เองก็เริ่มนำ AI มาใช้ในการค้นหาข้อมูล Search Engine มากขึ้น โดยเฉพาะกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง “AI Overviews” ที่เปิดตัวในปี 2024 และ “Google AI Mode” ในปี 2025 ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป

กลไกการทำงานของ AI Search เป็นอย่างไร?

ถ้าคุณจะลองนึกภาพการทำงานของ AI Search Engine ให้คิดว่ามันคือทีมผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

1. การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing)

คงเคยเจอใช่ไหมที่เราพิมพ์ผิดแล้ว Google ยังเข้าใจว่าเราหมายถึงอะไร? นั่นคือพลังของ NLP ที่ช่วยให้ AI เข้าใจภาษามนุษย์ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประโยคคำถาม คำที่สะกดผิด หรือแม้แต่ภาษาพูดทั่วไป

NLP ทำให้การค้นหาข้อมูลด้วย Google เป็นเรื่องง่าย เราสามารถพิมพ์ประโยคยาว ๆ แทนที่จะต้องพิมพ์แค่คำสำคัญสั้น ๆ เช่น “ร้านกาแฟที่เปิดตอนนี้ใกล้ฉันที่มีที่จอดรถและ wifi ฟรี” แทนที่จะต้องพิมพ์ “ร้านกาแฟ เปิด ใกล้ตัว ที่จอดรถ wifi”

2. การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)

คิดซิว่า AI มีสมองที่เรียนรู้จากพฤติกรรมการค้นหาข้อมูล Search Engine ของเราตลอดเวลา เมื่อเราคลิกเข้าไปดูผลลัพธ์ไหน อยู่นานแค่ไหน หรือกลับมาค้นหาอีกครั้ง AI จะจดจำและปรับแต่งผลลัพธ์ให้ตรงใจเรามากขึ้นเรื่อย ๆ

ML และ DL ทำให้ AI Search Engine สามารถเรียนรู้รูปแบบข้อมูลที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนระหว่างข้อมูลได้ ทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากขึ้น

3. การค้นหาเชิงความหมาย (Semantic Search)

นี่คือความสามารถพิเศษที่ทำให้ AI เข้าใจ “ความหมาย” ไม่ใช่แค่ “คำ” เช่น เมื่อเราค้นหาข้อมูลด้วย Google พิมพ์ว่า “ร้านอาหารญี่ปุ่นดี ๆ” AI จะเข้าใจว่าเรากำลังมองหาร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคุณภาพดี ไม่ใช่แค่หาเว็บที่มีคำว่า “ร้าน” “อาหาร” “ญี่ปุ่น” “ดี” เท่านั้น

Semantic Search ยังช่วยให้ AI เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำ เช่น ความเชื่อมโยงระหว่าง “รถยนต์” กับ “รถเก๋ง” หรือ “สมาร์ทโฟน” กับ “มือถือ” ทำให้ค้นหาได้ครอบคลุมมากขึ้น

4. การค้นหาด้วยภาพและเสียง (Visual & Voice Search)

นอกจากพิมพ์แล้ว AI Search Engine ยังรองรับการค้นหาด้วยภาพและเสียง ทำให้ประสบการณ์การค้นหาข้อมูล Search Engine สะดวกและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เช่น ถ่ายรูปสินค้าแล้วค้นหาว่าซื้อได้ที่ไหน หรือพูดคำถามเพื่อค้นหาโดยไม่ต้องพิมพ์

ลองนึกภาพว่าคุณเห็นรองเท้าสวย ๆ คู่หนึ่งบนถนน แทนที่จะต้องเดินเข้าไปถามเขาว่าซื้อที่ไหน คุณแค่ถ่ายรูปแล้วให้ AI ช่วยค้นหา ก็จะรู้ได้ว่าเป็นรองเท้ารุ่นอะไร ราคาเท่าไร และซื้อได้ที่ไหนบ้าง

AI Search ต่างจาก SEO แบบเดิมอย่างไร?

ในยุคก่อน เรามักจะใช้เทคนิค SEO แบบดั้งเดิม เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google โดยมุ่งเน้นที่:

  • การใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเนื้อหา
  • การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บเรา (Backlinks)
  • การปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการเข้าถึง

แต่ในยุค AI Search Engine เทคนิคเหล่านี้อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะ AI มีวิธีการประมวลผลข้อมูลที่แตกต่างออกไป ทำให้เกิดแนวคิดใหม่อย่าง เครื่องมือ AI SEO ที่ปรับตัวให้เข้ากับการทำงานของ AI ซึ่งมีแนวคิดหลัก ๆ ดังนี้:

1. AEO (Answer Engine Optimization)

AEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาให้ตอบคำถามได้ตรงประเด็น เพื่อให้ AI ดึงไปเป็นคำตอบได้ง่าย เช่น การทำเนื้อหาในรูปแบบคำถาม-คำตอบ หรือการเขียน Heading Tag ในรูปประโยคคำถาม

2. GEO (Generative Engine Optimization)

GEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับการถูกนำไปใช้ใน AI แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) เช่น การใช้ Schema Markup เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างข้อมูลได้ดีขึ้น หรือการทำ Structured Data เพื่อบอก AI ว่าเนื้อหาส่วนไหนเป็นอะไร

ตัวอย่าง AI Search Engine ที่ควรรู้จัก

ปัจจุบันมี AI Search Engine หลายตัวที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราค้นหาข้อมูล ได้แก่:

  1. Google AI Search – การนำ AI มาใช้ในการค้นหาข้อมูลด้วย Google ที่มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Google AI Overviews และ Google AI Mode
  2. Bing AI – เครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI ในการปรับปรุงผลการค้นหาให้แม่นยำ และมีฟีเจอร์ Visual Search ที่ช่วยให้ค้นหาภาพได้ง่ายขึ้น
  3. Perplexity AI – เครื่องมือ AI Search Engine ที่ค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ และแสดงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้
  4. ChatGPT Search – ระบบถาม-ตอบที่ใช้ AI ในการค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอย่างเป็นธรรมชาติ
  5. You.com – แพลตฟอร์ม AI Website ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัว และสามารถปรับแต่งผลลัพธ์การค้นหาให้ตรงกับความต้องการส่วนบุคคล

AI Overviews คืออะไร? ฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่ต้องจับตา

AI Overviews คือ ฟีเจอร์ใหม่ของการค้นหาข้อมูลด้วย Google ที่เปิดให้ใช้งานในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2024 ฟีเจอร์นี้จะช่วยสรุปข้อมูลจากหลายเว็บไซต์มาเป็นคำตอบเดียวที่ครอบคลุมและเข้าใจง่าย

AI Overviews จะปรากฏขึ้นเหนือผลการค้นหาปกติ โดยเฉพาะเมื่อคำค้นหาเป็นคำถามที่ซับซ้อนหรือต้องการข้อมูลเชิงลึก นอกจากสรุปข้อมูลแล้ว ยังมีลิงก์ไปยังแหล่งที่มาให้ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้

ปัจจุบัน AI Overviews ปรากฏในประมาณ 7-15% ของการค้นหาข้อมูลด้วย Google ทั้งหมด โดยมักแสดงผลกับ:

  • คำค้นหาแบบ Long-Tail ที่มี 4 คำขึ้นไป
  • คำค้นหาที่มี Search Volume น้อย
  • คำค้นหาที่มีเจตนาหาข้อมูล (Informational Intent) มากถึง 99.2%
  • ส่วนคำค้นหาเชิงพาณิชย์ (Commercial) จะมีเพียง 10% ที่แสดงผลเป็น AI Overviews

ผลกระทบของ AI Search ต่อธุรกิจ

การมาถึงของ AI Search Engine ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายด้าน ซึ่งหากไม่ปรับตัวอาจทำให้ธุรกิจหลุดจากสายตาลูกค้าได้ง่าย ๆ ดังนี้:

  1. อัตราการคลิกลดลง – เมื่อ AI สามารถตอบคำถามได้โดยตรง ผู้ใช้อาจไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์อีกต่อไป
  2. การแข่งขันที่สูงขึ้น – ธุรกิจต้องแข่งขันกันสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากขึ้น ตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
  3. ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำเนื้อหา – จากการเน้นคีย์เวิร์ด มาเป็นการตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน
  4. ต้องโฟกัสที่ผลลัพธ์ปลายทางมากกว่ายอดคลิก – แม้ยอดคลิกอาจลดลง แต่คลิกที่ได้จะมีคุณภาพสูงขึ้น ควรมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของธุรกิจมากกว่าแค่ตัวเลขการเข้าชม

วิธีปรับตัวให้ธุรกิจอยู่รอดในยุค AI Search

AI Search
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจไม่หลุดจากสายตาลูกค้าในยุค AI Search Engine? นี่คือเทคนิคที่คุณควรนำไปใช้:

1. สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ผู้ใช้

เนื้อหาที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ AI เลือกข้อมูลของคุณไปแสดงผล ควรสร้างเนื้อหาที่:

  • ตรงกับ Search Intent หรือความต้องการของผู้ค้นหา
  • ครอบคลุมประเด็นสำคัญอย่างรอบด้าน
  • มีการออกแบบให้อ่านง่าย ใช้หัวข้อย่อย (Sub headings) และ Bullet Points
  • เป็นข้อมูลต้นฉบับ (Original Content) ไม่ใช่การคัดลอกมาจากที่อื่น
  • เขียนตามหลัก E-E-A-T ให้แสดงถึงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือ

2. ปรับแต่ง AI Website ให้ AI อ่านได้ง่าย

ทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับ AI Crawler ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ – AI ใช้เวลาเพียง 1-5 วินาทีในการดึงข้อมูล เว็บที่โหลดช้าอาจถูกมองข้าม
  • ใช้ HTML ที่สะอาดและชัดเจน – ใช้แท็ก semantic เช่น <article>, <section>, <nav> เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างเนื้อหา
  • ใช้ Metadata และ Schema Markup – ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
  • แสดงวันที่เผยแพร่และอัปเดต – AI มักให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ทันสมัย
  • เปิดให้ AI Crawler เข้าถึงได้ – ตรวจสอบไฟล์ robots.txt ว่าไม่ได้บล็อก AI Crawler สำคัญ

3. ใช้เครื่องมือ AI SEO สมัยใหม่

เพิ่มโอกาสให้เนื้อหาของคุณถูก AI นำไปแสดงผลด้วยเทคนิคเหล่านี้:

  • เขียน Heading Tag เป็นประโยคคำถาม – เช่น “AI Search คืออะไร?” หรือ “ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดในยุค AI?”
  • ใช้ Schema Markup ที่เหมาะสม – เช่น Article Schema, FAQ Schema, Product Schema
  • สร้างเนื้อหาในรูปแบบคำถาม-คำตอบ – ช่วยให้ AI เข้าใจว่าส่วนไหนเป็นคำถาม ส่วนไหนเป็นคำตอบ
  • ใช้ Structured Data – ช่วยบอก AI ว่าเนื้อหาส่วนไหนเป็นอะไร เช่น ชื่อสินค้า ราคา รีวิว

การปรับตัวเข้าสู่ยุค AI Search ต้องอาศัยเครื่องมือที่เหมาะสม เครื่องมืออย่าง Yoast SEO และ Ahrefs สามารถช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ตรวจสอบว่า AI มองเห็นเนื้อหาของคุณหรือไม่

คุณสามารถตรวจสอบได้ว่า AI สามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาของคุณหรือไม่ ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • ใช้ Andi Search (AndiSearch.com) โดยวาง URL ของเว็บไซต์ลงไป หากตัวเลือก
  • Summarize หรือ Explain ปรากฏขึ้น แสดงว่า AI เข้าถึงเนื้อหาได้
  • ใช้ Firecrawl เพื่อตรวจสอบว่า AI Agent สามารถอ่านเนื้อหาได้หรือไม่
  • ตรวจสอบ Google Search Console ว่ามีการแจ้งเตือนปัญหาการเข้าถึงหรือไม่

5. ปรับตัวกับพฤติกรรมการค้นหาข้อมูล Search Engine ที่เปลี่ยนไป

พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้กำลังเปลี่ยนจากการใช้คำหลักไปสู่การสนทนาแบบเป็นธรรมชาติมากขึ้น คุณควร:

  • รองรับการค้นหาด้วยเสียงและภาพ
  • เข้าใจว่าผู้ใช้มักถามคำถามที่ซับซ้อนมากขึ้น
  • อัปเดตข้อมูลธุรกิจใน Google Business Profile ให้ครบถ้วนและทันสมัย
  • สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีไม่ว่าจะเข้ามาจากช่องทางใด

บริการของ CIPHER ที่ช่วยให้ธุรกิจคุณพร้อมรับมือกับ AI Search

ในฐานะบริษัทเอเจนซี่ Digital Marketing แบบครบวงจร CIPHER มีบริการที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณไม่หลุดจากสายตาลูกค้าในยุค AI Search Engine ดังนี้:

1. วิเคราะห์ความพร้อมของ AI Website คุณ

เราจะตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณพร้อมรับมือกับ AI Search มากแค่ไหน พร้อมแนะนำจุดที่ควรปรับปรุง เพื่อให้ AI มองเห็นและเลือกเนื้อหาของคุณไปแสดงผล

2. ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ AI

บริการด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และเว็บไซต์ของเราจะช่วยปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ AI Crawler ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร็ว, ใช้ HTML ที่เหมาะสม, หรือเพิ่ม Schema Markup ที่จำเป็น

3. สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ AI Search

ทีมงานที่เชี่ยวชาญด้าน Inbound Marketing ของเราจะช่วยสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ตรงกับ Search Intent และเหมาะสำหรับการถูก AI ดึงไปแสดงผล

4. บริการเครื่องมือ AI SEO โซลูชันแบบครบวงจร

เราผสมผสานทั้ง SEO ดั้งเดิมและเทคนิคใหม่ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการติดอันดับในการค้นหาข้อมูลด้วย Google แบบเดิมและการถูกเลือกโดย AI Search Engine

5. ติดตามและวิเคราะห์ผลด้วย Digital Analytics

เราใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามว่าเนื้อหาของคุณถูก AI นำไปแสดงผลบ่อยแค่ไหน และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สรุป

ยุค AI Search กำลังปฏิวัติวิธีการค้นหาข้อมูลออนไลน์ ธุรกิจต้องปรับตัวด้วยการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ AI และใช้เทคนิค AEO/GEO เพื่อเพิ่มโอกาสการถูกนำเสนอโดย AI Search Engine ทั้งนี้ CIPHER พร้อมช่วยธุรกิจคุณก้าวทันการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยบริการ Digital Marketing ครบวงจร เพื่อให้ธุรกิจคุณยังคงโดดเด่นในสายตาลูกค้าแม้ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโลกการค้นหาข้อมูลไปตลอดกาล

คำถามที่พบบ่อย

AI Search ต่างจาก Search Engine ทั่วไปอย่างไร?

AI Search ไม่เพียงจับคู่คำค้นหากับเว็บไซต์ แต่เข้าใจความหมายและบริบทของคำถาม สามารถสรุปข้อมูลจากหลายแหล่ง และตอบคำถามได้โดยตรงโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ทำให้ประสบการณ์การค้นหาสะดวกและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ธุรกิจควรปรับตัวอย่างไรเพื่อรองรับ AI Search?

ธุรกิจควรสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ AI (เพิ่มความเร็ว, ใช้ Schema Markup) เขียนในรูปแบบคำถาม-คำตอบ และโฟกัสที่การสร้าง E-E-A-T (ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ) เพื่อให้ AI เลือกข้อมูลของคุณไปแสดงผล

เครื่องมือ AI SEO คืออะไร จำเป็นต้องใช้หรือไม่?

เครื่องมือ AI SEO คือ ซอฟต์แวร์ที่ช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับการค้นหาด้วย AI เช่น Yoast SEO และ Ahrefs ที่วิเคราะห์และแนะนำการปรับปรุงตามหลัก AEO (Answer Engine Optimization) และ GEO (Generative Engine Optimization) จำเป็นต้องใช้เพราะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสถูกเลือกโดย AI มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันทาง SEO สูงขึ้นเรื่อย ๆ
Scroll to Top