การแข่งขันในโลกออนไลน์ปี 2025 ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน เมื่อธุรกิจต่าง ๆ พากันเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น คำถามสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเจอเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่ง? คำตอบนั้นอยู่ที่การผสมผสานระหว่าง SEO ที่แข็งแกร่ง และการใช้ AI Keyword Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคการทำ AI Keyword Optimization ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นบนหน้าผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็น Google Search หรือแม้แต่ AI Search อย่าง ChatGPT, Claude และ Gemini
Table of Contents
SEO ยุคใหม่ กับบทบาทของ AI ที่เปลี่ยนไป
หลายคนอาจสงสัยว่า เมื่อ AI Search เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน SEO AI จะยังสำคัญอยู่หรือไม่? คำตอบคือ “สำคัญมาก และยิ่งต้องปรับตัว!”
จากข้อมูลล่าสุดพบว่า 68% ของการซื้อของออนไลน์เริ่มต้นจากการค้นหาบน Google แต่มีเพียง 0.78% เท่านั้นที่ผู้ใช้จะคลิกไปดูผลลัพธ์ในหน้าที่ 2 นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทำ AI Keyword Optimization เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกจึงสำคัญมากในการแข่งขันธุรกิจออนไลน์
แม้ว่า AI Search อย่าง ChatGPT, Claude หรือ Gemini จะเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาของผู้บริโภคไปบ้าง แต่ Google ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดการค้นหาในไทยสูงถึง 97.11% จากข้อมูลล่าสุดปี 2024 ขณะที่ Bing ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักของ ChatGPT มีเพียง 1.64% เท่านั้น
ความแตกต่างระหว่าง Google Search กับ AI Search
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น มาดูความแตกต่างระหว่างการค้นหาแบบดั้งเดิมกับการค้นหาผ่าน SEO AI:
- Google Search: แสดงลิงก์ผลการค้นหาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้ผู้ใช้เลือกคลิกเพื่อเข้าไปหาคำตอบ
- AI Search: ให้คำตอบโดยตรงในรูปแบบการสนทนา โดยดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ได้เรียนรู้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์หลายหน้าเพื่อหาข้อมูล
สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ AI Search อย่าง ChatGPT ดึงข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Bing ซึ่งเป็น Search Engine ในเครือ Microsoft นั่นหมายความว่า การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google และ Bing คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ข้อมูลของคุณไปปรากฏใน AI Search ด้วย การใช้เทคนิค AI Keyword Optimization จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
AI-SEO คืออะไร? ทำไมต้องใช้ในปี 2025
SEO AI หรือ Artificial Intelligence Search Engine Optimization คือ การใช้ปัญญาประดิษฐ์มาวิเคราะห์ ปรับแต่ง และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้ตรงกับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในกระบวนการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การสร้างเนื้อหา หรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์
รายงานจาก HubSpot เผยว่า 54% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ใช้ประโยชน์จาก AI ในการทำงาน และ Google สร้างคำตอบโดย AI ให้กับผลการค้นหาถึง 8.71% ของคำหลักทั้งหมด โดยการค้นหาแบบละเอียดที่ใช้คำค้นหาสิบคำ มีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดการแสดงผลภาพรวม AI มากถึง 19.10% นี่คือเหตุผลที่ AI Keyword Optimization กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปี 2025
ความแตกต่างระหว่าง AI-SEO กับ SEO แบบดั้งเดิม
SEO AI และ SEO แบบดั้งเดิมมีความแตกต่างที่ชัดเจนในหลายด้าน:
SEO แบบดั้งเดิม:
- อาศัยการวิจัยคีย์เวิร์ดด้วยเครื่องมือแบบดั้งเดิม เช่น Google Keyword Planner
- ใช้เทคนิค On-page และ Off-page SEO ที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
- การสร้างเนื้อหาต้องใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก
- ต้องปรับแต่งเว็บไซต์ตาม Core Web Vitals และอัลกอริทึมของ Google ด้วยตนเอง
SEO AI:
- ใช้ AI วิเคราะห์คีย์เวิร์ด และแนะนำคำที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติด้วย AI Keyword Optimization
- ใช้ AI-generated content ช่วยในการสร้างบทความที่เหมาะสมกับการค้นหา
- สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้และปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ User Intent
- ใช้ AI วิเคราะห์ลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เข้าใจ Persona ของผู้ใช้ในยุค AI Search
กลุ่ม Persona หลักในยุค AI Search
1. Traditional Searchers (ผู้ค้นหาแบบดั้งเดิม)
- พฤติกรรม: ยังคงใช้ Google Search เป็นหลัก ชอบคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลจากหลายเว็บไซต์ เปรียบเทียบข้อมูลด้วยตนเอง
- ช่วงอายุ: มักเป็นกลุ่ม Gen X และ Baby Boomers (อายุ 40+ ปี)
- กลยุทธ์ SEO: เน้นการทำ SEO แบบดั้งเดิม ให้ความสำคัญกับ On-Page SEO, Meta Description ที่น่าดึงดูด และ CTA ที่ชัดเจน
- คีย์เวิร์ด: มักใช้คีย์เวิร์ดสั้น ๆ หรือคำค้นหาพื้นฐาน
2. AI Embracers (ผู้ยอมรับ AI)
- พฤติกรรม: ใช้ทั้ง Google Search และ AI Search อย่าง ChatGPT สลับกันไปมา ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลที่ต้องการ
- ช่วงอายุ: มักเป็นกลุ่ม Millennials (อายุ 25-40 ปี)
- กลยุทธ์ SEO: ผสมผสานระหว่าง SEO แบบดั้งเดิมกับ AI Keyword Optimization ต้องทำให้เว็บติดทั้ง Google และ AI Search
- คีย์เวิร์ด: ใช้ทั้งคีย์เวิร์ดทั่วไปและคำถามในรูปแบบประโยค
3. AI Natives (ผู้ที่คุ้นเคยกับ AI)
- พฤติกรรม: ใช้ AI Search เป็นหลัก ชอบความสะดวกรวดเร็วในการได้คำตอบ ไม่ต้องการเสียเวลาเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง
- ช่วงอายุ: มักเป็นกลุ่ม Gen Z (อายุต่ำกว่า 25 ปี)
- กลยุทธ์ SEO: เน้น SEO AI อย่างเต็มรูปแบบ สร้างเนื้อหาที่เป็นคำตอบชัดเจน ตรงประเด็น และครอบคลุม
- คีย์เวิร์ด: มักใช้คำถามในรูปแบบประโยคหรือ conversational keywords
4. Specialty Seekers (ผู้แสวงหาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน)
- พฤติกรรม: ต้องการข้อมูลเชิงลึกเฉพาะทาง มักใช้ทั้ง Google Search และ AI Search เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
- ช่วงอายุ: หลากหลายช่วงอายุ ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
- กลยุทธ์ SEO: เน้นการสร้างเนื้อหาเชิงลึก แสดงความเชี่ยวชาญ และใช้ E-E-A-T Factor อย่างเข้มข้น
- คีย์เวิร์ด: นิยมใช้ Technical Keywords และ Long-tail Keywords ที่เฉพาะเจาะจง
การปรับ AI Keyword Optimization ตาม Persona
การเข้าใจ Persona ที่แตกต่างกันจะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ AI Keyword Optimization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- สร้างเนื้อหาที่หลากหลาย: ครอบคลุมทั้งเนื้อหาเชิงลึกสำหรับ Traditional Searchers และเนื้อหาที่ตอบคำถามตรงประเด็นสำหรับ AI Natives
- ใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลาย: ผสมผสานทั้งคีย์เวิร์ดทั่วไปและคำถามในรูปแบบประโยค ให้ครอบคลุมทุกรูปแบบการค้นหา
- ปรับโครงสร้างเว็บไซต์: ให้ AI สามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ยังคงมี UX ที่ดีสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
- ตอบสนองความต้องการเฉพาะ: วิเคราะห์ Pain Points ของแต่ละ Persona และสร้างเนื้อหาที่แก้ปัญหาเหล่านั้นโดยตรง
ความเข้าใจใน Persona ที่แตกต่างกันนี้จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ SEO AI ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่พบเห็นโดยกลุ่มเป้าหมายทุกประเภท ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ Google Search หรือ AI Search ก็ตาม
คีย์เวิร์ดไหนที่ AI ชอบ? เจาะลึกพฤติกรรมการค้นหายุคใหม่
คำหลักที่กระตุ้นให้เกิดการแสดงผล AI Overviews มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของ Search Engine Journal พบว่าเทรนด์ของคำหลักในแต่ละเดือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก การทำ AI Keyword Optimization จึงต้องปรับเปลี่ยนตามเทรนด์อยู่เสมอ
ในเดือนมิถุนายน 2024 พบว่าคำหลักที่มีคำว่า “ดีที่สุด” เคยกระตุ้นให้เกิดการแสดงผล AI Overviews มากขึ้นถึง 50% แต่ในเดือนต่อมา Google อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่ต้องติดตามเทรนด์ SEO AI อยู่เสมอ
คำถามที่กระตุ้นการแสดงผล AI Overviews ในปี 2025:
จากการวิเคราะห์พบว่า คำถามในรูปแบบต่อไปนี้มีแนวโน้มทำให้เกิดการแสดงผล AI Overviews มากขึ้น เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการทำ AI Keyword Optimization:
- คำถามประเภท “คืออะไร” เพิ่มขึ้น 20%
- คำถามประเภท “วิธีการ” เพิ่มขึ้น 15%
- คำถามที่มีวลี “อาการของ” เพิ่มขึ้นประมาณ 12%
- คำถามที่มีคำว่า “การรักษา” เพิ่มขึ้น 10%
สิ่งที่น่าสนใจคือ คีย์เวิร์ดแบบ long-tail ที่มีความเฉพาะเจาะจง แม้จะมีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่มักกระตุ้นให้เกิดการแสดงผล AI Overviews ได้มากกว่า การใช้เทคนิค AI Keyword Optimization จึงควรให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดประเภทนี้
วิธีปรับคอนเทนต์ให้เหมาะกับ Google Search Generative Experience (SGE)
SGE เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google ที่ใช้ AI สร้างผลลัพธ์การค้นหาแบบสรุปข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น การปรับคอนเทนต์ให้รองรับ SGE ด้วย SEO AI จึงเป็นสิ่งจำเป็น
กลยุทธ์ปรับคอนเทนต์ให้เหมาะกับ SGE:
เพื่อให้เนื้อหาของคุณได้รับการคัดเลือกไปแสดงใน SGE ควรทำตามแนวทาง AI Keyword Optimization เหล่านี้:
- สร้างคอนเทนต์เชิงลึก (Comprehensive Content) – คอนเทนต์ต้องครอบคลุมและตอบคำถามของผู้ใช้ให้มากที่สุด
- ใช้ภาษาธรรมชาติและกระชับ – ควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน และเน้นการให้ข้อมูลที่ตรงประเด็น
- ใช้โครงสร้างที่เหมาะสม – แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ เช่น H1, H2, H3 เพื่อช่วยให้ AI ของ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดีขึ้น
- เพิ่ม E-E-A-T – สร้างความน่าเชื่อถือโดยแสดงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความไว้วางใจในเนื้อหา
เทคนิค Natural Language Processing (NLP) ที่ช่วยให้ AI เข้าใจคอนเทนต์ดีขึ้น
NLP คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ AI เข้าใจภาษามนุษย์ได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการทำ SEO AI อย่างมาก ลองใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI Keyword Optimization:
- การใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-tail Keywords – AI จะเข้าใจบริบทของคำค้นหามากขึ้นเมื่อใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นธรรมชาติ
- การใช้คำถาม (Question-Based Content) – Google ชอบแสดงผลคอนเทนต์ที่ตอบคำถามของผู้ใช้โดยตรง
- การใช้โครงสร้าง JSON-LD Schema Markup – ช่วยให้ AI ของ Google เข้าใจข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น เช่น บทความ รีวิว ข้อมูลสินค้า
- การเพิ่ม Context ผ่าน LSI Keywords – ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักเพื่อให้ AI เข้าใจความหมายของเนื้อหาได้ดีขึ้น
ทำยังไงให้แบรนด์ถูกพูดถึงบน ChatGPT หรือ AI Search มากขึ้น?
การทำ Generative Engine Optimization (GEO) เพื่อให้แบรนด์ของคุณสามารถถูกค้นพบและแสดงผลในการค้นหาผ่าน AI Search ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปด้วยเทคนิค AI Keyword Optimization
เคล็ดลับสำคัญคือการทำบทความแนว Digital PR และการทำ SEO AI ที่แข็งแกร่ง เนื่องจาก AI Search อย่าง ChatGPT ดึงข้อมูลจาก Bing เป็นหลัก หากธุรกิจของคุณต้องการให้ AI นำข้อมูลจากเว็บไซต์ไปแสดงผล สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและได้รับการจัดอันดับที่ดีบน Google และ Bing
เช็กว่ามีคนเจอเว็บไซต์ของคุณบน AI Search แล้วหรือยัง
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณติดตามได้ว่าแบรนด์ของคุณถูกพูดถึงใน AI Search มากน้อยแค่ไหน เป็นส่วนสำคัญของการทำ AI Keyword Optimization เช่น:
- AI Search Tracker: ช่วยติดตามการค้นหาผ่าน ChatGPT, Gemini และ Perplexity
- AI Traffic: แสดงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณ Traffic ของเว็บไซต์ที่มาจาก AI Search
- Brand Radar จาก Ahrefs: ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหาผ่าน AI
ASEO: กลยุทธ์ SEO ที่ปรับตัวตามยุค AI
ASEO Model แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก:
- Content Strategy: วางแผนเนื้อหาให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และ AI
- Site Trustworthiness: สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
- Site Experience Quality: พัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดี
ทั้ง 3 ส่วนนี้สามารถแบ่งออกเป็น 7 ปัจจัยย่อย ไล่ตั้งแต่ฐานไปจนถึงยอดพีระมิด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ AI Keyword Optimization:
- Keyword & Search Intent: เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ที่แตกต่างกัน
- High Quality Content: สร้างเนื้อหาตาม E-E-A-T Factor
- Silo-based structure: เชื่อมโยง Internal Link อย่างเป็นระบบ
- Link Building: เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
- External Signals: ใช้ Google Business Profile, Social Media และอื่น ๆ
- Search Experience Optimization (SXO): ปรับ UX/UI ให้ผู้ใช้อยู่กับหน้าเว็บนานขึ้น
- Technical Issues: แก้ไขปัญหาทางเทคนิคอย่างถูกต้องและทันท่วงที
เครื่องมือ AI ที่ช่วยในการทำ SEO
เครื่องมือพื้นฐานที่ควรใช้:
- Google Search Console และ Google Analytics 4: ฟรีและให้ข้อมูลโดยตรงจาก Google
- SEMrush หรือ Ahrefs: วิเคราะห์ Keyword และ Backlink อย่างละเอียด
- Screaming Frog: Crawl เว็บไซต์เพื่อหา Technical SEO Issues
เครื่องมือ AI สำหรับ SEO:
เทคโนโลยี AI ช่วยให้การทำ SEO AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดเวลา และลดภาระงาน ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI Keyword Optimization:
- Gemini: ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดและสร้างเนื้อหา SEO
- Surfer SEO: วิเคราะห์เนื้อหาเทียบกับเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ
- Frase: ช่วยปรับเนื้อหา SEO เขียนหัวข้อ และวางโครงสร้างเนื้อหา
- Clearscope: เพิ่มคุณภาพของเนื้อหาด้วยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเชิงลึก
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือ AI ควรใช้ควบคู่กับทักษะ SEO แบบดั้งเดิม และควรศึกษาการใช้งานเครื่องมือให้ละเอียดก่อนใช้งาน
บริการ AI Keyword Optimization จาก CIPHER
ที่ CIPHER เรามีบริการ AI Keyword Optimization ที่ครบวงจร ช่วยให้ธุรกิจของคุณติดอันดับบนหน้าแรกของ Google และเพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบผ่าน AI Search:
AI-Powered Keyword Research
AI Search Visibility Analysis
AI-Enhanced Content Creation
Technical SEO Optimization
ASEO Strategy Development
Ongoing Optimization & Monitoring
สรุป
แม้ AI Search จะเปลี่ยนวิธีการค้นหาข้อมูล แต่ SEO AI ยังคงสำคัญและต้องปรับตัวตามเทคโนโลยี ในปี 2025 การทำ AI Keyword Optimization เป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ด สร้างเนื้อหา และปรับแต่งเว็บไซต์ ให้ธุรกิจได้เปรียบคู่แข่ง สิ่งสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยี AI กับคุณภาพเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ เพราะทั้ง Google และ AI Search ต่างมุ่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ติดต่อ CIPHER ได้ที่ 081-633-3636 เพื่อยกระดับ SEO ของคุณในยุค AI!