Table of Contents
การปรับ Core Web Vital มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และอันดับบน Google ในปี 2025 การแข่งขันทางออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้การปรับ Core Web Vital มีความจำเป็นมากกว่าที่เคย Google ให้ความสำคัญกับการวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ผ่าน โดย Web Vitals มาตรฐานใหม่ที่ช่วยประเมินประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์ที่ได้รับการแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และในบทความนี้ CIPHER จะพาไปทำความเข้าใจกับการปรับ Core Web Vital พร้อมบริการทำ SEO ที่ได้ผลจริง!
Core Web Vital คืออะไร?
Core Web Vitals คือ ชุดตัวชี้วัดที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อประเมินคุณภาพประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) บนเว็บไซต์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา โดยการปรับ Core Web Vital ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เว็บไซต์มีความเร็ว ตอบสนองได้ดี และมีความเสถียรสูง เมื่อ Google เริ่มนำ Web Vitals มาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์ ทำให้เจ้าของเว็บต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนา UX/UI มากขึ้น
การปรับ Core Web Vital ให้ได้มาตรฐานไม่เพียงส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมและอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate) อีกด้วย เมื่อผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีบนเว็บไซต์ พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้นและมีโอกาสกลายเป็นลูกค้ามากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ Core Web Vitals Update ล่าสุดได้รับความสนใจอย่างมากในการทำ SEO
Core Web Vitals มีอะไรบ้าง?
การปรับ Core Web Vital จำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบหลักทั้ง 3 ข้อที่ Google ใช้ในการประเมิน Web Vitals ของเว็บไซต์ โดยมีองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ครอบคลุมปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
Largest Contentful Paint (LCP)
LCP คือ การวัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ ซึ่งโดยปกติหมายถึงภาพหรือวิดีโอขนาดใหญ่ การปรับ Core Web Vital ในส่วนนี้มีความสำคัญต่อการสร้างความประทับใจแรกที่ดีต่อผู้ใช้งาน Google แนะนำให้ค่า LCP อยู่ที่ไม่เกิน 2.5 วินาที
หากเว็บไซต์ของคุณมีค่า LCP สูงเกินไป อาจส่งผลให้ผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์ก่อนที่เนื้อหาจะโหลดเสร็จ การปรับปรุง Web Core Vitals ในส่วนนี้สามารถทำได้โดยการลดขนาดไฟล์ภาพ ใช้รูปแบบไฟล์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น WebP และปรับการตั้งค่าแคชของเซิร์ฟเวอร์
First Input Delay (FID)
FID วัดความรวดเร็วในการตอบสนองต่อการโต้ตอบแรกของผู้ใช้งาน เช่น การคลิกปุ่ม กรอกข้อมูลในฟอร์ม หรือเลือกเมนู หนึ่งในการปรับ Core Web Vital ที่สำคัญคือการทำให้เว็บไซต์ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดย Google ระบุว่าค่า FID ที่ดีควรอยู่ที่ไม่เกิน 100 มิลลิวินาที
การปรับ Core Web Vitals คือ สิ่งสำคัญในการปรับปรุงเว็บไซต์ โดยการลดจำนวน JavaScript ที่ไม่จำเป็น แยกส่วนโค้ดที่ใหญ่ให้เป็นส่วนเล็กๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสคริปต์ จะช่วยให้ FID ดีขึ้น เว็บไซต์ที่มี Web Vital ดีในด้านนี้จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
Cumulative Layout Shift (CLS)
Core Web Vital เช็กคะแนนอย่างไร?
การปรับ Core Web Vital ให้มีประสิทธิภาพ ต้องเริ่มต้นจากการเช็กคะแนนปัจจุบันของเว็บไซต์ เพื่อระบุปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยมีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถใช้ตรวจสอบ Web Vitals ของเว็บไซต์คุณได้ ซึ่งเครื่องมือทั้ง 2 ที่นิยมใช้กัน คือ
- Google Search Console: เข้าไปที่เมนู Core Web Vitals จะแสดงรายงานประสิทธิภาพของหน้าเว็บทั้งในมุมมองมือถือและเดสก์ท็อป พร้อมระบุหน้าเว็บที่มีปัญหาและต้องได้รับการปรับปรุง
- PageSpeed Insights: เพียงใส่ URL ของเว็บไซต์ เครื่องมือนี้จะวิเคราะห์และให้คะแนน Core Web Vitals พร้อมคำแนะนำในการปรับปรุง นอกจากนี้ยังมีการแสดงข้อมูลจากผู้ใช้จริงและผลการทดสอบการใช้งานต่าง ๆ
การตรวจสอบ Core Web Vitals คือ สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณสามารถติดตามความคืบหน้าในการปรับปรุงและระบุปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ที่สำคัญหลังจากทำการปรับ Core Web Vital แล้ว ควรติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงส่งผลดีต่อประสิทธิภาพเว็บไซต์
การปรับ Core Web Vital แบบง่าย ไม่ต้องแก้โค้ด
สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด การปรับ Core Web Vital อาจดูเป็นเรื่องยาก แต่มีวิธีง่าย ๆ หลายวิธีที่ช่วยปรับปรุง Web Vitals โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขโค้ด เช่น
- บีบอัดรูปภาพก่อนอัปโหลด: ใช้เครื่องมือออนไลน์อย่าง TinyPNG หรือ Squoosh เพื่อลดขนาดไฟล์ภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพมากนัก การแก้ Core Web Vital ในส่วนนี้จะช่วยลดเวลาโหลด
- ใช้ปลั๊กอิน: หากเว็บไซต์ของคุณใช้ WordPress สามารถติดตั้งปลั๊กอินอย่าง WP Rocket, LiteSpeed Cache หรือ Autoptimize เพื่อปรับประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย
- เลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ: โฮสติ้งที่ดีมีผลอย่างมากต่อความเร็วของเว็บไซต์ การปรับเปลี่ยนมาใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยแก้ Core Web Vitals โดยไม่ต้องแก้โค้ด
- ใช้ Content Delivery Network (CDN): การใช้ CDN จะช่วยกระจายการโหลดเนื้อหาเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับผู้ใช้มากที่สุด ช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์
- ลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: หากคุณใช้ CMS อย่าง WordPress ให้ลบปลั๊กอินที่ไม่ได้ใช้งานออก เพื่อลดการโหลด JavaScript ที่ไม่จำเป็น
การใช้วิธีเหล่านี้ในการแก้ปัญหา Core Web Vital คือ เทคนิคสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง
Core Web Vital มีผลต่อ SEO มากแค่ไหน?
การปรับ Core Web Vital มีผลอย่างมากต่อกลยุทธ์ SEO ในปัจจุบัน เพราะคะแนนของเว็บไซต์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ อีกทั้งการแก้ Core Web Vital ไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออันดับใน Search Engine เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการทางธุรกิจด้วย
นอกจากนี้ ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดียังช่วยลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) และเพิ่มระยะเวลาเฉลี่ยในการใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ดังนั้นการแก้ Core Web Vital จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้าน SEO ในระยะยาว
ปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับ Core Web Vital กับ CIPHER ได้แล้ววันนี้!
เมื่อต้องการความช่วยเหลือในการปรับ Core Web Vital อย่างมืออาชีพ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก CIPHER พร้อมให้บริการ เรามีประสบการณ์ในการปรับปรุง Web Vitals ให้กับธุรกิจหลากหลายประเภท ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดตามมาตรฐานของ Google
ไม่ว่าคุณจะต้องการปรับปรุง LCP, FID หรือ CLS เราสามารถวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและให้คำแนะนำที่เหมาะสม พร้อมดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ด้วยการปรับ Core Web Vital ที่มีประสิทธิภาพ คุณจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทั้งในด้านการจัดอันดับใน Google และประสบการณ์ของผู้ใช้
ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรีเกี่ยวกับการปรับปรุง Core Web Vitals และบริการพัฒนาเว็บไซต์แบบครบวงจรให้กับเว็บไซต์ของคุณ!
สรุป
คำถามที่พบบ่อย
Core Web Vital คืออะไร?
Core Web Vital มีอะไรบ้าง?
คะแนน Core Web Vitals ที่ดีอยู่ที่เท่าไร?
คะแนน Core Web Vitals ที่ดีตามมาตรฐานของ Google มีดังนี้
- LCP (Largest Contentful Paint): ไม่เกิน 2.5 วินาที
- FID (First Input Delay): ไม่เกิน 100 มิลลิวินาที
- CLS (Cumulative Layout Shift): น้อยกว่า 0.1
การปรับ Core Web Vital ให้ได้ตามเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพดีในสายตาของ Google และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน
Core Web Vital มีกี่แบบ?
Core Web Vitals ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลัก ได้แก่
- Largest Contentful Paint (LCP)
- First Input Delay (FID)
- Cumulative Layout Shift (CLS)
การปรับ Core Web Vital ที่มีประสิทธิภาพควรพิจารณาทั้งตัวชี้วัดหลักและตัวชี้วัดเสริมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์
Core Web Vital ปรับยังไง?
การปรับ Core Web Vital สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับปัญหาที่พบ เช่น
- ปรับปรุง LCP: ลดขนาดและบีบอัดรูปภาพให้เหมาะสม ใช้ไฟล์ WebP ที่โหลดเร็วขึ้น เปิดใช้แคชเพื่อลดเวลาการโหลด และลดขนาด CSS/JavaScript ให้เล็กลง
- ปรับปรุง FID/INP: ลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็น แยกงานที่ใช้เวลานานออกจาก Main Thread และปรับประสิทธิภาพของสคริปต์ให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น
- ปรับปรุง CLS: กำหนดขนาดของรูปภาพและวิดีโอล่วงหน้า สำรองพื้นที่สำหรับโฆษณาหรือองค์ประกอบที่โหลดแบบไดนามิก และหลีกเลี่ยงการเพิ่มเนื้อหาที่ทำให้หน้าเว็บเลื่อนตำแหน่ง
การแก้ปัญหา Core Web Vital อย่างมีประสิทธิภาพควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เว็บไซต์ผ่านเครื่องมือเช่น PageSpeed Insights หรือ Google Search Console เพื่อระบุปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข จากนั้นจึงดำเนินการแก้ไขตามคำแนะนำ และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาที่ซับซ้อน อาจต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ Web Core Vitals เพื่อการปรับแต่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ