Yoast SEO: เครื่องมือช่วยทำ SEO สำหรับ WordPress ที่มือใหม่ก็ใช้ได้

Yoast SEO คืออะไร? วิธีใช้ให้เว็บติดอันดับใน Google

Table of Contents

ปัจจุบันการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมอย่าง Yoast SEO WordPress จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายขึ้นอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ Plugin Yoast SEO ยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตรกับ Google และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับได้ดีขึ้น SEO WordPress เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งาน WordPress ไม่ควรมองข้าม

Yoast SEO คืออะไร?

Yoast SEO คืออะไร?

Yoast SEO คือ ปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับการค้นหาของ Google โดยเฉพาะในด้าน Technical SEO ปลั๊กอินนี้ไม่ได้รับประกันว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับหน้าแรกทันที แต่จะช่วยตรวจสอบและปรับแต่งโครงสร้างเนื้อหาให้ถูกต้องตามหลัก SEO

SEO Yoast ใช้สัญลักษณ์ไฟจราจร 3 สี เป็นตัวบอกว่าเนื้อหาของคุณเป็นมิตรกับ SEO มากน้อยแค่ไหน:

  • ไฟเขียว = บทความมีโครงสร้าง SEO ที่ดีเยี่ยม
  • ไฟเหลือง = พอใช้ได้ แต่ควรปรับปรุง
  • ไฟแดง = จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง

Yoast WordPress Plugin มีให้ใช้ทั้งในรูปแบบฟรีที่มีฟังก์ชันพื้นฐานเพียงพอสำหรับการทำ SEO ทั่วไป และแบบเสียเงิน (Premium) ที่มีฟังก์ชันเพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้งานขั้นสูง หากต้องการทำความเข้าใจเพิ่มเติม คุณสามารถอ่านรายละเอียดจากเว็บไซต์ทางการของ Yoast

ประโยชน์ของ Yoast SEO

Yoast by SEO มีประโยชน์มากมายสำหรับการปรับแต่ง SEO ดังนี้:

  1. ช่วยปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ตามหลัก SEO – ช่วยตรวจสอบและให้คำแนะนำในการปรับแต่งองค์ประกอบสำคัญของหน้าเว็บไซต์ ทั้ง Title, Yoast Description, Keyword, รูปภาพ และโครงสร้างเนื้อหา
  2. เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Search Engine – เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างถูกต้องตามหลัก SEO มีโอกาสติดอันดับดีกว่าเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับการปรับแต่ง
  3. ใช้งานง่ายแม้สำหรับมือใหม่ – ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน SEO มากนัก เพราะ Yoast SEO WP มีระบบแนะนำที่เข้าใจง่าย ใช้สัญลักษณ์สีช่วยในการตรวจสอบ
  4. มีฟังก์ชันครบถ้วนแม้ในเวอร์ชันฟรี – ฟังก์ชันพื้นฐานใน Plugin Yoast SEO เวอร์ชันฟรีก็เพียงพอสำหรับการทำ SEO ทั่วไป
  5. รองรับการเชื่อมต่อกับ Social Media – ช่วยจัดการรูปแบบการแสดงผลเมื่อแชร์คอนเทนต์ไปยัง Social Media

นอกจากนี้ Yoast SEO WordPress ยังมีฟังก์ชันทางเทคนิคอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น:

  • สร้าง XML Sitemap โดยอัตโนมัติ
  • สร้าง Canonical URLs เพื่อแก้ปัญหา Duplicate Content
  • สร้างไฟล์ robots.txt
  • สร้าง Google Knowledge Graph (schema)
  • มีฟังก์ชัน Redirect (เฉพาะเวอร์ชัน Premium)

วิธีการติดตั้ง Yoast SEO

การติดตั้ง Yoast SEO WP ทำได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนดังนี้:

  1. เข้าสู่ระบบ WordPress – ล็อกอินเข้าสู่ Dashboard ของ WordPress ของคุณ
  2. ไปที่เมนู “ปลั๊กอิน” (Plugins) – คลิกที่ “ปลั๊กอิน” ในแถบเมนูด้านซ้าย
  3. คลิกที่ “เพิ่มปลั๊กอินใหม่” (Add New) – จะปรากฏหน้าสำหรับค้นหาและติดตั้งปลั๊กอิน
  4. ค้นหา “Yoast SEO” – พิมพ์ “Yoast SEO” ในช่องค้นหาและกด Enter
  5. ติดตั้งและเปิดใช้งาน – คลิกที่ “ติดตั้งทันที” (Install Now) และรอให้การติดตั้งเสร็จสิ้น จากนั้นคลิก “เปิดใช้งาน” (Activate)

เพียงเท่านี้คุณก็พร้อมใช้งาน Plugin Yoast SEO แล้ว! หากคุณมีปัญหาในการติดตั้งหรือต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม คุณสามารถอ่านคำแนะนำเกี่ยวกับบริการปลั๊กอิน WordPress ของเราได้

วิธีการใช้งาน Yoast SEO อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อติดตั้ง Yoast SEO WordPress แล้ว คุณจะเห็นส่วนตัวเลือกของ Yoast SEO ปรากฏอยู่ด้านล่างของหน้าแก้ไขบทความหรือหน้าเพจ มีขั้นตอนสำคัญในการใช้งานดังนี้:
เทคนิคการใช้ Yoast SEO ให้ได้ไฟเขียว

1. กำหนด Focus Keyphrase

Focus Keyphrase คือ คำหรือวลีที่คุณต้องการให้หน้าเว็บนั้นติดอันดับ Keyword Yoast ควรเลือกคำที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เมื่อกรอกคำ Keyphrase ลงไปแล้ว SEO Yoast จะวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการปรับปรุง

สำหรับเวอร์ชันฟรีจะสามารถกำหนด Focus Keyphrase ได้เพียง 1 คำหรือวลีเท่านั้น หากต้องการกำหนดเพิ่มเติมต้องใช้เวอร์ชัน Premium

2. ปรับแต่ง Title และ Meta Description

Title และ Yoast Description เป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นในหน้าผลการค้นหา จึงมีความสำคัญมาก:

  • SEO Title – ควรมีความยาวพอเหมาะ (ไม่ยาวหรือสั้นเกินไป) และควรมี Focus Keyphrase อยู่ในส่วนต้นของ Title
  • Meta Description – ควรเขียนให้น่าสนใจ มี Focus Keyphrase อยู่ในนั้น และมีความยาวที่เหมาะสม

Yoast SEO มีแถบสีแสดงความเหมาะสมของความยาว ควรปรับให้แถบเป็นสีเขียว

3. ตรวจสอบการจัดวางเนื้อหา

Yoast WordPress Plugin จะช่วยตรวจสอบว่าเนื้อหาของคุณอ่านง่ายหรือไม่ ผ่านฟีเจอร์ Readability ซึ่งจะตรวจสอบ:

  • การใช้ Heading Tag (H1-H6)
  • ความยาวของย่อหน้า (ไม่ควรเกิน 5 บรรทัด)
  • การใช้ประโยคเชื่อม
  • ความถี่ของการใช้ Passive Voice

หมายเหตุ: Readability อาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์กับภาษาไทย เนื่องจากออกแบบมาสำหรับภาษาอื่นเป็นหลัก

4. ตรวจสอบการใช้ Links และรูปภาพ

SEO Yoast จะตรวจสอบการใช้ Internal Links และ External Links รวมถึงการตั้งชื่อรูปภาพ (Alt Text) ให้เป็นไปตามหลัก SEO ดังนี้:

  • ควรมี Internal Links เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ
  • ควรมี External Links ไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  • รูปภาพควรมี Alt Text ที่มี Focus Keyphrase อยู่ด้วย

5. ดูตัวอย่างการแสดงผลบน Google

Yoast SEO WP มีฟีเจอร์ Google Preview ที่จำลองการแสดงผลของหน้าเว็บบน Google ทั้งในมุมมอง Desktop และ Mobile ช่วยให้คุณเห็นภาพว่าหน้าเว็บของคุณจะปรากฏอย่างไรบนผลการค้นหา

เทคนิคการใช้ Yoast SEO ให้ได้ไฟเขียว

การทำให้ Yoast SEO WordPress แสดงไฟเขียวต้องทำตามคำแนะนำต่าง ๆ เหล่านี้:

1. จัดการ Focus Keyphrase อย่างเหมาะสม

  • วางไว้ในประโยคแรก – ควรมี Focus Keyphrase ในย่อหน้าแรกของบทความ เพราะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ทันที
  • ความถี่พอเหมาะ – Keyword Density ไม่ควรเกิน 2.5% ของเนื้อหาทั้งหมด
  • ใส่ในหัวข้อ H2 หรือ H3 – ควรมี Focus Keyphrase อยู่ในหัวข้อย่อยของบทความด้วย

2. จัดการโครงสร้างเนื้อหา

  • ความยาวเหมาะสม – เนื้อหาควรมีความยาวไม่น้อยกว่า 300 คำ (สำหรับภาษาอังกฤษ) หรือประมาณ 700 คำสำหรับภาษาไทย
  • จัดวางให้อ่านง่าย – แต่ละย่อหน้าไม่ควรยาวเกิน 5 บรรทัด ควรมีการเว้นบรรทัดให้มีช่องไฟอ่านง่าย
  • ใช้รูปแบบที่หลากหลาย – เช่น มีการใช้ bullet point, ตัวหนา, ตัวเอียง เพื่อให้น่าอ่านยิ่งขึ้น

3. จัดการ URL และ Permalink

  • URL สั้นและกระชับ – ควรมี Focus Keyphrase อยู่ใน URL และตัด Articles (a, an, the) ออก
  • ใช้เครื่องหมาย (-) แทนช่องว่าง – เช่น “yoast-seo-guide” แทน “yoast seo guide”

4. ใส่ใจเรื่องรูปภาพ

  • มีรูปภาพประกอบ – บทความควรมีรูปภาพอย่างน้อย 1 รูป
  • ตั้งชื่อไฟล์ให้เหมาะสม – เช่น “yoast-seo-guide.jpg” แทน “IMG12345.jpg”
  • ใส่ Alt Text – อย่างน้อย 1 รูปควรมี Alt Text ที่มี Focus Keyphrase อยู่ด้วย

5. ทำ Social Markup

Yoast SEO มีฟีเจอร์ช่วยควบคุมการแสดงผลเมื่อแชร์ไปยัง Social Media:

  • ควรตั้งชื่อเรื่องและคำอธิบายสำหรับ Facebook และ Twitter
  • ควรกำหนดรูปภาพหน้าปกสำหรับการแชร์ (ขนาดที่แนะนำคือ 1200×630 pixels)

ข้อจำกัดของ Yoast SEO สำหรับภาษาไทย

สำหรับเนื้อหาภาษาไทย Yoast SEO WP มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ:

  1. ไม่สามารถตรวจสอบโครงสร้างภาษาไทยได้ 100% – เนื่องจากออกแบบมาสำหรับภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ เป็นหลัก
  2. การนับคำอาจคลาดเคลื่อน – ต้องเขียนคำไทยประมาณ 700 คำ จึงจะเทียบเท่า 300 คำภาษาอังกฤษ
  3. ฟีเจอร์ Readability อาจทำงานไม่สมบูรณ์ – บางครั้งอาจแนะนำให้เว้นวรรคแบบไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย

     

แม้จะมีข้อจำกัด แต่ยังสามารถใช้ Plugin Yoast SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับไฟเขียวมากเกินไป แต่ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงเนื้อหา

14 เช็คลิสต์ Yoast SEO ที่ควรรู้

การทำความเข้าใจกับตัวชี้วัดต่าง ๆ ของ Yoast SEO WordPress จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือรายการเช็คลิสต์ที่คุณควรรู้:

  • Outbound Links – ลิงก์ภายนอกที่อยู่ในบทความของคุณ ควรมีอย่างน้อย 1 ลิงก์
  • Image Keyphrase – คีย์เวิร์ดที่อยู่ใน Alt Text ของรูปภาพ
  • Images – รูปภาพประกอบในบทความ ควรมีอย่างน้อย 1 รูป
  • Internal Links – ลิงก์ภายในเว็บไซต์ของคุณเอง ควรมีอย่างน้อย 1 ลิงก์
  • Keyphrase in Introduction – การใส่คีย์เวิร์ดในย่อหน้าแรก ควรใส่ในประโยคแรกถ้าเป็นไปได้
  • Keyphrase in SEO Title – การใส่คีย์เวิร์ดในชื่อเรื่อง SEO ควรอยู่ในตำแหน่งต้นๆ
  • Keyphrase length – ความยาวของคีย์เวิร์ด ไม่ควรยาวหรือสั้นเกินไป
  • Keyphrase Density – ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดในบทความ ไม่ควรเกิน 2.5%
  • Keyphrase in Meta Description – คีย์เวิร์ดที่อยู่ในคำอธิบาย Meta
  • Meta Description length – ความยาวของคำอธิบาย Meta ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • Previously Used Keyphrase – การตรวจสอบว่าเคยใช้คีย์เวิร์ดนี้ในบทความอื่นหรือไม่
  • SEO Title Width – ความยาวของชื่อเรื่อง SEO ควรมีความยาวที่พอเหมาะ
  • Text Length – ความยาวของเนื้อหา ควรมีอย่างน้อย 300 คำ (ภาษาอังกฤษ)
  • Keyphrase in Subheading – การใส่คีย์เวิร์ดในหัวข้อย่อย (H2, H3)

บริการ Yoast SEO Optimization จาก Cipher

ที่ Cipher เรามีบริการ Digital Marketing แบบครบวงจร และหนึ่งในบริการเฉพาะทางของเราคือการปรับแต่ง SEO WordPress ด้วย Yoast SEO สำหรับเว็บไซต์ WordPress ของคุณ

บริการของเราประกอบด้วย:

  1. ตรวจสอบและปรับแต่ง Yoast SEO Settings – เราจะตั้งค่า Yoast SEO WP ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ ทั้งในส่วนของ General Settings, Search Appearance และ Social Media
  2. วิเคราะห์และปรับแต่งคอนเทนต์เพื่อให้ได้ไฟเขียว – ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราจะวิเคราะห์และปรับแต่งคอนเทนต์ของคุณให้เป็นไปตามหลัก SEO WordPress และได้ไฟเขียวจาก Yoast SEO
  3. แก้ไขปัญหา Technical SEO – เราจะตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ เช่น Duplicate Content, Canonicalization, XML Sitemap
  4. วางแผนกลยุทธ์ Keyword – ทีมของเราจะวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ Keyword Yoast ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ
  5. อบรมการใช้งาน Yoast SEO – เราสามารถจัดอบรมให้ทีมของคุณเข้าใจวิธีการใช้งาน Plugin Yoast SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมควรเลือกใช้บริการ Yoast SEO Optimization จาก Cipher?

  • ประสบการณ์ – เรามีประสบการณ์ในการทำ SEO และใช้งาน Yoast SEO WordPress มาอย่างยาวนาน
  • ผลลัพธ์ที่วัดได้ – เรามุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและวัดผลได้
  • ดูแลแบบครบวงจร – ไม่เพียงแค่ปรับแต่ง Yoast WordPress Plugin แต่ยังดูแลด้าน Digital Marketing อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • ทีมผู้เชี่ยวชาญ – ทีมของเราประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และ Digital Marketing

สนใจบริการ Yoast SEO Optimization จาก Cipher สามารถติดต่อเราได้ที่เว็บไซต์ www.cipher.co.th เรายินดีให้คำปรึกษาฟรีเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับดีขึ้น

สรุป

Yoast SEO เป็นปลั๊กอินที่มีประโยชน์สำหรับการทำ SEO WordPress ด้วยการใช้งานที่ง่าย แม้สำหรับผู้เริ่มต้น แต่เป็นเพียงเครื่องมือช่วย ไม่ได้การันตีการติดอันดับ เนื่องจากการติดอันดับบน Google ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพเนื้อหา ความน่าเชื่อถือ และการสร้างลิงก์ หากต้องการความช่วยเหลือแบบครบวงจร บริษัท Cipher พร้อมให้บริการด้าน SEO และ Digital Marketing เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับดีขึ้น ทำ SEO WordPress ให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นด้วย Yoast SEO และเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายผ่าน Google วันนี้!

คำถามที่พบบ่อย

Yoast SEO คือปลั๊กอินสำหรับทำอะไร?

Yoast SEO คือ ปลั๊กอินชั้นนำสำหรับ WordPress ที่ช่วยปรับแต่งและตรวจสอบการทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณ สามารถใช้งานได้ฟรีในรูปแบบพื้นฐาน โดยจะช่วยตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหาและแสดงผลเป็นสัญญาณไฟจราจร 3 สี – เขียว (ดีมาก), เหลือง (พอใช้), แดง (ต้องปรับปรุง) พร้อมให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่าควรแก้ไขจุดใดบ้างเพื่อให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google มากขึ้น

มือใหม่ทำ SEO ควรทำอย่างไรบ้าง?

วิธีการทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google สำหรับมือใหม่ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • วิเคราะห์และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน พร้อมวางแผนเนื้อหาที่จะโฟกัส
  • ทำการวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research) และวางแผนการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นระบบทั่วทั้งเว็บไซต์
  • ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา พร้อมวางแผนลำดับเนื้อหา
  • สร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและเหมาะสมกับคีย์เวิร์ด
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน (Website UX) ให้ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และเป็นมิตรกับอุปกรณ์มือถือ

เริ่มทำ SEO ตอนไหนจะดีที่สุด?

เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มทำ SEO คือทันทีหลังจากที่ธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์ เนื่องจากการแข่งขันในโลกออนไลน์ไม่มีวันหยุด ทุกวันที่คุณชะลอการทำ SEO คือโอกาสที่คู่แข่งจะแซงหน้าคุณในผลการค้นหา การทำ SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลา ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร คุณก็จะยิ่งเห็นผลลัพธ์เร็วเท่านั้น อย่าปล่อยให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาธุรกิจแบบคุณพบเจอแต่เว็บไซต์ของคู่แข่ง เริ่มลงทุนกับ SEO ตั้งแต่วันนี้ เพื่อความได้เปรียบในระยะยาว
Scroll to Top