ทำไมธุรกิจถึงควรเปลี่ยนมาใช้ Shopify?

ทำไมธุรกิจถึงควรเปลี่ยนมาใช้ Shopify

Table of Contents

ทำไม Shopify ถึงกลายเป็นตัวเลือก E-Commerce ที่โดดเด่น? Shopify มีความโดดเด่น โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการตั้งร้านค้าออนไลน์ที่ใช้งานง่าย มีความปลอดภัยสูง และสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับการเติบโตของธุรกิจได้ แม้ว่าจะมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น WooCommerce, Magento หรือ BigCommerce ที่เป็นคู่แข่ง แต่ Shopify มีข้อได้เปรียบหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า โดยในบทความนี้เราจะอธิบายถึงคุณสมบัติและข้อดีที่ทำให้ Shopify นำหน้าคู่แข่ง พร้อมทั้งยกตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ Shopify แล้วประสบความสำเร็จ

Shopify VS คู่แข่ง เหตุผลที่ Shopify ดีกว่า

1. ประสิทธิภาพในการทำงาน

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ธุรกิจเลือกใช้ Shopify นั่นก็คือ ประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงและการจัดการที่ง่าย แม้ว่าคู่แข่งอย่าง WooCommerce และ Magento อาจให้ความสามารถในการปรับแต่งได้มากกว่า แต่ Shopify โดดเด่นในด้านการใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ด โดยด้านประสิทธิภาพทั้ง 3 แพลตฟอร์มมีความแตกต่างกันดังนี้

เหตุผลที่ Shopify ดีกว่า

 

  • Shopify: มีเซิร์ฟเวอร์โฮสต์ที่เสถียร และไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการโฮสติ้งหรือปรับแต่งเซิร์ฟเวอร์เอง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการบริหารจัดการ ห้เจ้าของธุรกิจโฟกัสที่การสร้างยอดขายมากกว่าการจัดการทางเทคนิค
  • WooCommerce: ถึงแม้ว่าจะมีปลั๊กอินให้เลือกมากมาย แต่ WooCommerce เป็นเพียงปลั๊กอินที่ทำงานบน WordPress ซึ่งทำให้การตั้งค่าและการจัดการเว็บไซต์ยุ่งยากกว่า Shopify โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกโฮสติ้งที่มีผลต่อประสิทธิภาพ
  • Magento: เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถปรับแต่งได้มาก แต่มีความซับซ้อนสูงและต้องการทีมไอทีที่มีความเชี่ยวชาญในการตั้งค่าและจัดการระบบ

2. มาตรฐานความปลอดภัยในการทำธุรกรรม

เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ดำเนินการออนไลน์ โดยเฉพาะกับข้อมูลของลูกค้าและการทำธุรกรรม Shopify ได้รับการรับรองมาตรฐาน PCI DSS Level 1 ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต นอกจากนี้ Shopify ยังมีระบบป้องกัน DDoS และการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของลูกค้าและธุรกิจจะปลอดภัยเสมอ

  • Shopify: มีทีมงานที่คอยดูแลด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะ ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถโฟกัสที่การเติบโตของร้านค้าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
  • WooCommerce: เนื่องจาก WooCommerce ต้องพึ่งพาปลั๊กอินและโฮสติ้งที่ผู้ใช้เลือกเอง การรักษาความปลอดภัยจึงต้องอาศัยการดูแลจากเจ้าของธุรกิจ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงหากระบบไม่ได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ
  • Magento: แม้ Magento จะมีเครื่องมือความปลอดภัยที่ครอบคลุม แต่ก็ต้องการการจัดการและการบำรุงรักษาที่ซับซ้อนกว่ามาก ซึ่งอาจเพิ่มภาระให้กับเจ้าของธุรกิจที่ต้องดูแลเซิร์ฟเวอร์และความปลอดภัยเอง

3. การผสานรวมกับแพลตฟอร์มอื่น

Shopify มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันและเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือด้านการตลาด การจัดการคลังสินค้า หรือการจัดการลูกค้า โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีข้อแตกต่างกัน คือ

การผสานรวม Shopify กับแพลตฟอร์มอื่น

 

  • Shopify: สามารถเชื่อมต่อกับ Facebook, Google Shopping, Instagram หรือเครื่องมือการตลาดอีเมลได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมี App Store ที่มีแอปให้ปรับใช้กับธุรกิจต่าง ๆ มากมาย เพื่อช่วยเสริมสร้างความสามารถให้ร้านค้าออนไลน์ของผู้ใช้ อีกทั้งยังผสานกับระบบการทำงานอื่น ๆ ได้ เช่น การผสาน Shopify กับ CRM
  • WooCommerce: แม้จะมีปลั๊กอินให้เลือกจำนวนมาก แต่ต้องการการตั้งค่าและการอัปเดตที่มากขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือทั้งหมดจะทำงานเข้ากันได้ดี
  • Magento: แม้จะมีความยืดหยุ่นสูงในด้านการผสานรวม แต่การจัดการอาจซับซ้อน ทำให้ต้องใช้เวลาและทีมงานเทคนิคในการจัดการ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอื่น ๆ เพิ่มเติม 

4. การรองรับการขยายธุรกิจ 

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Shopify คือ Shopify Implement Service ที่มีการรองรับธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นธุรกิจ หรือองค์กรขนาดใหญ่ โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีการรองรับการเติบโตของธุรกิจในขนาดต่าง ๆ ดังนี้

  • Shopify: สามารถรองรับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญสามารถอัปเกรดการใช้งานเป็น Shopify Plus ซึ่งเป็นแผนที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่และระดับองค์กร นอกจากนี้ Shopify ยังมีความสามารถในการรองรับธุรกิจที่ต้องการขยายไปขายในหลายตลาดและหลายภาษาทั่วโลก
  • WooCommerce: รองรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางได้ดี แต่การขยายธุรกิจอาจต้องใช้การตั้งค่าเพิ่มเติมหรือปรับปรุงโฮสติ้ง
  • Magento: สามารถรองรับธุรกิจขนาดใหญ่ได้เช่นกัน แต่การจัดการเซิร์ฟเวอร์และการบำรุงรักษาจะซับซ้อนกว่าการใช้ Shopify

ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกับ Shopify

Allbirds เป็นแบรนด์รองเท้าจากสหรัฐอเมริกาที่เน้นความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติในการผลิต การขยายตัวของ Allbirds เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็เช่นเดียวกับหลายธุรกิจ พวกเขาพบปัญหาเรื่องการจัดการการเติบโตและการรองรับลูกค้าทั่วโลก

Allbirds ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกับ Shopify

 

  • ความต้องการ: Allbirds ต้องการแพลตฟอร์มที่สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว รองรับการขายทั่วโลก และเชื่อมต่อกับช่องทางการตลาดต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
  • การเลือกใช้ Shopify: Allbirds เลือกใช้ Shopify เนื่องจากความง่ายในการตั้งค่าร้านค้าและการผสานรวมที่รวดเร็วกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ อีกทั้ง Shopify ยังมีฟีเจอร์สำหรับการขายระหว่างประเทศที่ช่วยให้ Allbirds สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลลัพธ์: หลังจากย้ายมาใช้ Shopify Allbirds สามารถขยายตลาดไปยังหลายประเทศอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยังสามารถสร้างแคมเปญการตลาดแบบเชื่อมต่อกับช่องทางต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ Allbirds เติบโตจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกภายในไม่กี่ปี

บทสรุป

ในขณะที่ตัวเลือกแพลตฟอร์ม E-Commerce อยู่มากมาย แต่ Shopify ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยธุรกิจทุกขนาดในการขยายธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเริ่มต้นหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายตัวสู่ตลาดโลก Shopify มีความสามารถในการจัดการทุกความต้องการอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นความง่ายในการใช้งาน หรือการเชื่อมต่อกับเครื่องมือทางการตลาดอื่น ๆ

สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีที่จะขยายตลาด เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การเปลี่ยนมาใช้ Shopify อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จระดับโลก

Scroll to Top