On Page SEO คืออะไร? เคล็ดลับครบจบที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google

On Page SEO คือ

เว็บไซต์สวยแค่ไหน ถ้าไม่มีคนเข้า ก็เหมือนร้านที่ไม่มีลูกค้า… แล้วจะทำยังไงให้เว็บของเราติดอันดับดี ๆ บน Google? คำตอบคือต้องเข้าใจว่า On Page SEO คืออะไร และนำไปปรับใช้ให้ถูกต้อง บทความนี้จะพาคุณรู้จักกับ On Pageคือกระบวนการทำ SEO ที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เว็บคุณติดหน้าแรก Google ได้!

Table of Contents

On Page SEO คืออะไร?

On Page SEO คือ การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของเราเอง (บางทีเรียกว่า “SEO On Site”) เพื่อให้เหมาะสมและง่ายต่อการอ่านของทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine อย่าง Google เป้าหมายก็คือ การทำให้ Google เข้าใจว่าเว็บเพจของเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword) ไหนบ้าง เพื่อที่จะได้จัดอันดับเว็บไซต์ของเราได้อย่างเหมาะสม

หัวใจสำคัญของการทำ On Page SEO อยู่ที่การทำให้เว็บไซต์อ่านง่ายและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีและ Google ก็จะช่วยวิธีทำให้เพจขึ้นหน้า Google ได้ดีขึ้นตามไปด้วย

ทำไม On Page SEO ถึงสำคัญในกระบวนการทำ SEO?

การทำ On Page SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการทำ SEO เพราะเป็นหนึ่งในสามองค์ประกอบหลักของการทำ SEO (อีกสองอย่างคือ Off Page SEO และ Technical SEO) การปรับแต่ง On Page SEO ที่ดีส่งผลดีต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์อย่างเห็นได้ชัด โดยจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญหลายคน พบว่า:

  • เว็บเพจที่ไม่เคยปรากฏบนผลการค้นหา สามารถขึ้นมาอยู่ในหน้า 2-3 ได้
  • เว็บเพจที่เคยอยู่ครึ่งล่างของหน้าแรก สามารถพุ่งขึ้นมาติดอันดับ 3 อันดับแรกได้
  • ช่วยให้เว็บไซต์ได้รับ Organic Traffic เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา
  • เพิ่ม Conversion Rate และ Click Through Rate (CTR)
  • เกิดการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) มากยิ่งขึ้น

หากปราศจากการทำ On Page SEO ที่ดี ต่อให้ลงทุนโปรโมทเว็บไซต์หรือสร้าง Backlink มากแค่ไหน ก็ยากที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีได้ SEO On Site จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

กระบวนการทำ SEO ทำงานอย่างไร?

เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ On Page SEO มากขึ้น มาดูการทำงานของ Search Engine กันก่อน:

  1. Crawling – บอทของ Google เข้ามาสำรวจและสแกนเก็บข้อมูลจากหน้าเพจต่าง ๆ ของเว็บไซต์ โดยอ่านโค้ดและแท็กต่าง ๆ
  2. Indexing – บอทนำข้อมูลที่ได้มาทำดัชนีหรือเก็บไว้ในฐานข้อมูลของ Google เพื่อให้สามารถค้นหาได้เมื่อมีคนเสิร์ชคำที่เกี่ยวข้อง
  3. Ranking – เมื่อมีคนค้นหา Google จะประเมินและให้คะแนนเนื้อหาจากหน้าเพจต่าง ๆ เพื่อเลือกหน้าเพจที่น่าจะตอบโจทย์ผู้ค้นหามากที่สุด (ใช้ปัจจัยการจัดอันดับหรือ “Ranking Factors” ซึ่ง On Page SEO เป็นส่วนสำคัญ)

การทำ On Page SEO ที่ดีจะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น และประเมินว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ ตอบโจทย์คนค้นหาได้ดีแค่ไหน นั่นคือวิธีทำให้เพจขึ้นหน้า Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

12 ส่วนประกอบของ On Page SEO ที่ต้องรู้

ส่วนประกอบของ On Page SEO มีหลายอย่างที่ต้องใส่ใจ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:

1. การทำคอนเทนต์คุณภาพ (E-A-T Content)

Google ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์คุณภาพ โดยใช้หลัก E-A-T:

  • Expertise – คอนเทนต์มาจากเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ
  • Authoritativeness – คอนเทนต์มาจากผู้เขียนที่น่าเชื่อถือ มีตำแหน่งหรือความรู้ในเรื่องนั้นจริง ๆ
  • Trustworthiness – เนื้อหามีความน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงแหล่งที่มาชัดเจน

คอนเทนต์ที่ดีจะต้องให้คุณค่ากับผู้อ่าน มีความถูกต้อง เป็นประโยชน์ และตอบโจทย์สิ่งที่ผู้อ่านกำลังค้นหา การทำ SEO On Site ที่ดีต้องเริ่มจากคอนเทนต์ที่มีคุณภาพก่อนเสมอ

2. การใช้ Keyword อย่างเหมาะสม

การเลือกใช้คำหลักหรือ Keyword ที่เหมาะสมเป็นส่วนประกอบของ On Page SEO ที่สำคัญมาก โดยควรยึดหลัก “1 หน้าเพจ 1 คำหลัก” เพื่อความชัดเจนของเนื้อหา ลักษณะของ Keyword ที่ดีมีดังนี้:

  • มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและธุรกิจของคุณ
  • มีคนค้นหา (Search Volume) ในปริมาณที่เหมาะสม
  • สามารถแข่งขันได้ (Keyword Difficulty ไม่สูงเกินไป)

การวาง Keyword ควรทำอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดจนเกินไป (Keyword Stuffing) และวางในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น:

  • ใส่ใน Title Tag (ชื่อบทความ)
  • ใส่ใน Meta Description (คำอธิบายเว็บเพจ)
  • ใส่ใน 100-150 คำแรกของเนื้อหา
  • ใส่ใน Heading Tags (H1, H2, H3)
  • ใส่ใน URL ของบทความ

3. การเขียนคอนเทนต์แบบ SEO (SEO Writing & Readability)

การเขียนคอนเทนต์ให้เหมาะกับการทำ SEO On Site ไม่ได้หมายถึงการยัดคีย์เวิร์ดให้เยอะที่สุด แต่เป็นการเขียนให้อ่านง่าย ได้ใจความ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เทคนิคการเขียนมีดังนี้:

  • กระจาย Keyword อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ใช้ย่อหน้าสั้น ๆ ไม่เกิน 5 บรรทัด
  • ใช้ Bullet Points, ตัวเลข และการเน้นข้อความด้วย Bold, Italic
  • แทรกคำพูด (Quotes) ระหว่างเนื้อหาเพื่อดึงความสนใจ
  • ใช้ Heading Tags (H1, H2, H3) จัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระเบียบ
  • เนื้อหาควรมีความยาวที่เหมาะสม (สำหรับภาษาไทยควรมีอย่างน้อย 1,000 คำขึ้นไป)

4. การใช้รูปภาพและสื่อหลากหลาย (Image & Multimedia)

การใส่รูปภาพและสื่อหลากหลายรูปแบบช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจมากขึ้น และทำให้ผู้อ่านใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณดีสำหรับ Google ควรใส่:

  • รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
  • Infographic ที่สรุปข้อมูลให้เข้าใจง่าย
  • วิดีโอที่ช่วยอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติม
  • GIF หรือภาพเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
  • สื่อ Interactive ที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมได้

5. การตั้งชื่อหน้าเพจ (Title Tag) และ Site Name คือ

Title Tag คือ ชื่อของหน้าเพจที่จะปรากฏบนผลการค้นหาของ Google และเป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็น ส่วน Site Name คือชื่อเว็บไซต์ที่จะปรากฏต่อท้าย Title Tag เช่น “On Page SEO คืออะไร? | CIPHER Digital” โดย “CIPHER Digital” คือ Site Name การตั้งชื่อเพจที่ดีมีหลักดังนี้:

  • ความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร (เกินกว่านั้นจะถูกตัดในหน้าผลการค้นหา)
  • มี Keyword หลักอยู่ด้านหน้าหรือใกล้ด้านหน้ามากที่สุด
  • ดึงดูดความสนใจ ทำให้คนอยากคลิกเข้ามาอ่าน
  • บอกให้ชัดเจนว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร

6. การใส่คำอธิบายหน้าเพจ (Meta Description)

Meta Description คือ ข้อความสั้น ๆ ที่อธิบายเนื้อหาของหน้าเพจ แสดงอยู่ใต้ Title Tag ในหน้าผลการค้นหา การเขียน Meta Description ที่ดีมีหลักดังนี้:

  • ความยาวไม่เกิน 150-160 ตัวอักษร
  • อธิบายเนื้อหาหน้าเพจอย่างกระชับ
  • ใส่ Keyword หลักอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ชักจูงให้คนอยากคลิกเข้ามาอ่านต่อ

7. การปรับแต่งรูปภาพ (Image Optimization)

การปรับแต่งรูปภาพเป็นอีกส่วนประกอบของ On Page SEO ที่หลายคนมองข้าม นอกจากจะทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น:

  • ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้มีความหมาย เช่น “on-page-seo-techniques.jpg” แทน “IMG001.jpg”
  • ใส่ Alt Text (คำอธิบายรูปภาพ) ที่มี Keyword และอธิบายภาพได้ชัดเจน
  • เลือก Format ไฟล์ที่เหมาะสม: PNG สำหรับภาพคุณภาพสูง, JPEG สำหรับภาพทั่วไป, WebP สำหรับภาพที่ต้องการลดขนาดไฟล์แต่ยังคงคุณภาพ
  • บีบอัดขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนเว็บไซต์

8. การเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Site Speed)

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์มีผลโดยตรงต่อ User Experience และการจัดอันดับใน Google กระบวนการทำ SEO ที่ดีต้องคำนึงถึงการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ซึ่งทำได้โดย:

  • เลือก Hosting ที่มีคุณภาพและเหมาะกับขนาดเว็บไซต์
  • บีบอัดรูปภาพและไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง
  • ใช้เทคนิค Lazy Loading สำหรับรูปภาพ
  • ติดตั้ง Plugin เท่าที่จำเป็น
  • ใช้ระบบ Cache เพื่อให้เว็บโหลดเร็วขึ้นในการเข้าชมครั้งต่อไป

9. การทำเว็บไซต์ให้แสดงผลบนมือถือได้ดี (Mobile-Friendly)

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้มือถือในการเข้าเว็บไซต์มากกว่าคอมพิวเตอร์ การทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนมือถือจึงเป็นส่วนประกอบของ On Page SEO ที่สำคัญมาก:

  • ใช้ Responsive Design ที่ปรับขนาดตามหน้าจอ
  • จัดวางองค์ประกอบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ
  • ตัวหนังสือต้องอ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป
  • ปุ่มต่าง ๆ ต้องกดง่าย มีระยะห่างเพียงพอ

10. การตั้งชื่อ URL ให้เป็นมิตรกับ SEO (SEO-Friendly URLs)

URL ที่ดีควรสั้น กระชับ และอธิบายเนื้อหาของหน้าเพจได้ชัดเจน การตั้ง URL ที่ดีมีหลักดังนี้:

  • ใช้คำที่อ่านง่าย เข้าใจได้
  • ใส่ Keyword หลัก เช่น “on-page-seo-คือ”
  • ใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด
  • ใช้เครื่องหมายขีด (-) แทนช่องว่าง
  • หลีกเลี่ยงอักขระพิเศษ
  • ควรเป็นภาษาอังกฤษ (เพื่อความเป็นสากลและการแชร์ที่ง่ายขึ้น)

11. การทำ Internal Link และ External Link

การเชื่อมโยงลิงก์ทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างและความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ดีขึ้น:

Internal Link (ลิงก์ภายใน):

  • เชื่อมโยงไปยังหน้าเพจอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ
  • ช่วยให้ผู้อ่านสำรวจเนื้อหาอื่น ๆ ในเว็บไซต์
  • กระจายค่า SEO ไปยังหน้าเพจต่าง ๆ
  • ใช้ Anchor Text (ข้อความที่เป็นลิงก์) ที่มีความหมายและเกี่ยวข้อง

External Link (ลิงก์ภายนอก):

  • เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง
  • แสดงให้เห็นถึงการอ้างอิงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาของคุณ

12. การทำเว็บไซต์ให้แชร์ง่าย (Social Sharing)

การที่เว็บไซต์ของคุณสามารถแชร์ได้ง่ายช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์:

  • เพิ่มปุ่ม Social Share ที่เห็นได้ชัดเจน
  • ตั้งค่า Open Graph และ Twitter Card ให้เว็บไซต์แสดงผลได้สวยงามเมื่อแชร์
  • สร้างเนื้อหาที่น่าแชร์ มีประโยชน์ และมีคุณค่า

พัฒนาคอนเทนต์ตาม Persona ของกลุ่มเป้าหมาย

การทำความเข้าใจและพัฒนาคอนเทนต์ตาม Persona ของกลุ่มเป้าหมายเป็นส่วนสำคัญของ On Page SEO ที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลอย่างมากต่อการตอบสนองของผู้ใช้และ User Engagement ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google

Persona คืออะไร? Persona คือ ตัวแทนของกลุ่มผู้ใช้หรือลูกค้าเป้าหมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากข้อมูลจริง เพื่อให้เข้าใจความต้องการ พฤติกรรม และปัญหาของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น Persona จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ:

  • ข้อมูลประชากร (อายุ, เพศ, อาชีพ, รายได้)
  • ความสนใจและไลฟ์สไตล์
  • ความต้องการและปัญหาที่กำลังเผชิญ
  • พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตและการค้นหาข้อมูล
  • เส้นทางการตัดสินใจซื้อ (Customer Journey)
วิธีพัฒนาคอนเทนต์ตาม Persona:
 
  1. วิเคราะห์และสร้าง Persona ให้ชัดเจน:
    • ศึกษาข้อมูลจากระบบวิเคราะห์เว็บไซต์ (Google Analytics)
    • สำรวจความคิดเห็นและความต้องการของลูกค้าปัจจุบัน
    • วิเคราะห์คู่แข่งและกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา
  2. ปรับภาษาและโทนเสียงให้เหมาะสมกับ Persona
    • Persona เป็นผู้เชี่ยวชาญ: ใช้ภาษาเทคนิคและลงลึกในรายละเอียด
    • Persona เป็นมือใหม่: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย อธิบายศัพท์เทคนิค
    • Persona เป็นผู้บริหาร: เน้นข้อมูลเชิงกลยุทธ์และผลลัพธ์ทางธุรกิจ
  3. เลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับคำค้นหาของ Persona:
    • วิเคราะห์คำค้นหาที่กลุ่มเป้าหมายใช้จริงจากเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
    • พิจารณา Search Intent (ความตั้งใจในการค้นหา) ของแต่ละ Persona
    • ปรับการใช้คีย์เวิร์ดให้ตรงกับระดับความรู้และความเชี่ยวชาญของ Persona
  4. สร้างโครงสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของ Persona:
    • ตอบคำถามที่กลุ่มเป้าหมายมักค้นหาบ่อย
    • แก้ไขปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเผชิญ
    • นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะกับวิธีการเรียนรู้ของ Persona (เช่น วิดีโอ, infographic, ข้อความ)
  5. ปรับ Call-to-Action (CTA) ให้สอดคล้องกับเส้นทางการตัดสินใจของ Persona:
    • Persona ที่อยู่ในขั้นตอนการรับรู้: CTA ที่เชิญชวนให้เรียนรู้เพิ่มเติม
    • Persona ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา: CTA ที่ชวนให้เปรียบเทียบหรือทดลองใช้
    • Persona ที่พร้อมตัดสินใจ: CTA ที่ชัดเจนในการซื้อหรือติดต่อ

ประโยชน์ของการทำ On Page SEO ตาม Persona:

  • เพิ่ม User Engagement (เวลาอยู่บนเว็บนานขึ้น, Bounce Rate ลดลง)
  • สร้าง Relevance ให้กับ Google ว่าเนื้อหาของเรามีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา
  • เพิ่ม Conversion Rate เพราะเนื้อหาตรงกับความต้องการของผู้ใช้
  • สร้างความประทับใจและความภักดีกับแบรนด์ในระยะยาว

การทำ On Page SEO ที่ดีไม่ใช่แค่การปรับแต่งทางเทคนิคเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งด้วย การพัฒนาคอนเทนต์ตาม Persona จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและติดอันดับที่ดีบน Google ได้อย่างยั่งยืน

บริการปรับแต่ง On Page SEO จาก CIPHER ที่ทำให้เว็บคุณติดอันดับแรกบน Google

ถึงตอนนี้คุณอาจจะเข้าใจแล้วว่า On Pageคือกระบวนการทำ SEO ที่มีรายละเอียดเยอะและซับซ้อน หลายคนอาจไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาและทำทั้งหมดด้วยตัวเอง CIPHER พร้อมช่วยให้วิธีทำให้เพจขึ้นหน้า Google เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ!

เรามีบริการด้าน SEO On Site แบบครบวงจร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง เราจะช่วยปรับแต่งทุกส่วนประกอบของ On Page SEO บนเว็บไซต์คุณ ตั้งแต่:

  • วิเคราะห์และค้นหา Keyword ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ทั้ง Focus Keyword หลักและ Longtail Target Keyword
  • ปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาให้เป็นมิตรกับ SEO
  • ตั้งค่า Title Tag, Meta Description, Site Name และ Heading Tags ที่ดึงดูดทั้งคนและ Google
  • ปรับแต่งรูปภาพให้โหลดเร็วและมี Alt Text ที่เหมาะสม
  • วางแผนการทำ Internal Link เพื่อเพิ่มพลัง SEO ให้กับทุกหน้าเพจ
  • เพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ด้วยเทคนิคปรับ Core Web Vitals
  • ดูแลให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์

ด้วยบริการ SEO ของเรา คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน: อันดับบน Google ที่ดีขึ้น, Traffic ที่เพิ่มขึ้น, และ Conversion ที่สูงขึ้น ทั้งหมดนี้ด้วยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจทั้งศาสตร์และศิลป์ของกระบวนการทำ SEO

สนใจปรึกษาเรื่อง On Page SEO และแนวทางการตลาดดิจิทัลที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ? ติดต่อเราได้ที่ 081-633-3636 หรือกรอกแบบฟอร์มติดต่อบนเว็บไซต์ของเราได้เลย!

สรุป

On Page SEO เป็นรากฐานสำคัญของการทำ SEO เพราะช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณและจัดอันดับได้อย่างเหมาะสม การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งคอนเทนต์ Keyword และโครงสร้างเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บของคุณติดอันดับดี ดึงดูด Traffic และเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะทำเองหรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญ การทำ On Page SEO ที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในโลกออนไลน์!

คำถามที่พบบ่อย

On Page SEO ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล?

การทำ On Page SEO อาจใช้เวลา 2-6 เดือน กว่าจะเห็นผลชัดเจน ขึ้นอยู่กับความแข่งขันของ Keyword การปรับแต่งพื้นฐานอาจเห็นผลเร็วขึ้นใน 1-2 เดือนแรก แต่การเพิ่มอันดับอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความต่อเนื่องและการปรับปรุงคอนเทนต์สม่ำเสมอ

On Page SEO ต่างจาก Off Page SEO อย่างไร?

On Page SEO เป็นการปรับแต่งภายในเว็บไซต์ที่คุณควบคุมได้เอง เช่น คอนเทนต์ โครงสร้างเว็บไซต์ และ Keyword ส่วน Off Page SEO เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ เช่น Backlink จากเว็บอื่น การแชร์บนโซเชียลมีเดีย และการกล่าวถึงแบรนด์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งสองส่วนจำเป็นต้องทำควบคู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ควรอัปเดตคอนเทนต์เก่าหรือสร้างคอนเทนต์ใหม่ดี?

ควรทำทั้งสองอย่าง การอัปเดตคอนเทนต์เก่าช่วยรักษาอันดับและความเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เคยทำได้ดี ส่วนการสร้างคอนเทนต์ใหม่ช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับกับ Keyword ใหม่ ๆ และเพิ่ม Traffic แนะนำให้ทำทั้งสองอย่างโดยปรับปรุงคอนเทนต์เก่าทุก 3-6 เดือน และสร้างคอนเทนต์ใหม่อย่างสม่ำเสมอตามแผนการตลาดเนื้อหา
Scroll to Top