Keyword SEO: เคล็ดลับการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ให้เว็บติดอันดับ Google

Keyword SEO
เชื่อว่าคนทำเว็บไซต์หรือทำการตลาดออนไลน์ทุกคน อยากให้เว็บของตัวเองติดอันดับต้น ๆ บน Google เพื่อให้มีคนเข้าชมเว็บไซต์เยอะ ๆ แต่ทำไมบางเว็บถึงติดอันดับสูงๆ ได้ง่าย ในขณะที่บางเว็บทำยังไงก็ติดยาก? คำตอบก็คือ “Keyword SEO” นั่นเอง! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้กัน

Table of Contents

Keyword SEO คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับการทำเว็บไซต์

Keyword SEO

Keyword SEO คือ คำหรือวลีที่คนใช้ค้นหาข้อมูลบน Search Engine (อย่าง Google) เมื่อมีคนพิมพ์คำค้นหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์คุณก็จะมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหา (Search Engine Result Pages หรือ SERPs)

ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคนอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ที่พักเชียงใหม่ บรรยากาศดี” แล้วพิมพ์คำนี้ลงใน Google คำว่า “ที่พักเชียงใหม่ บรรยากาศดี” ก็คือ SEO Keyword นั่นเอง

การหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมมีความสำคัญมากต่อการทำ SEO เพราะเปรียบเสมือน:

  1. สะพานเชื่อมระหว่างลูกค้ากับเว็บไซต์ – ช่วยคัดกรองให้คนที่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณจริง ๆ เข้ามาที่เว็บไซต์
  2. ทำเลของร้านค้าบนโลกออนไลน์ – เหมือนการเปิดร้านบนทำเลทอง ถ้าเลือก Keyword SEO ที่มีปริมาณค้นหาสูงและเว็บคุณติดอันดับดี ๆ ก็เหมือนมีหน้าร้านอยู่ในทำเลทองที่มีคนเดินผ่านเยอะ
  3. ตัวชี้วัดโอกาสความสำเร็จ – ช่วยให้คุณวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้ว่าเว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงหรือไม่ ต้องลงทุนมากแค่ไหนในการแข่งขัน

ประเภทของ Keyword ที่นักทำ SEO ต้องรู้จัก

การเข้าใจประเภทของ Keyword SEO จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การทำ SEO Keyword Research ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:

1. Generic Keyword (Seed Keyword)

Generic Keyword เป็นคำกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง มักประกอบด้วย 1-2 คำ มีปริมาณการค้นหาสูงมาก แต่ก็มีการแข่งขันสูงตามไปด้วย

ตัวอย่าง Generic Keyword:

  • รองเท้า
  • โทรศัพท์
  • กาแฟ
  • เสื้อผ้า
  • รถยนต์

ข้อดี: หากติดอันดับได้ จะมีคนเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก ข้อเสีย: แข่งขันสูงมาก ติดอันดับยาก และคนที่เข้ามาอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้า/บริการของคุณ

Generic Keyword เหมาะสำหรับใช้เป็น “คำตั้งต้น” เพื่อหาคีย์เวิร์ดอื่น ๆ มากกว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดหลักในการทำ SEO

2. Niche Keyword

Niche Keyword เป็นคำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น มีการระบุรายละเอียดเพิ่มเติมจาก Generic Keyword มีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า แต่การแข่งขันก็น้อยลงด้วย

ตัวอย่าง Niche Keyword:

  • รองเท้าผู้ชาย Adidas
  • โทรศัพท์มือถือ Samsung
  • กาแฟดอยช้าง
  • เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี
  • รถยนต์ไฟฟ้า

ข้อดี: แข่งขันน้อยกว่า Generic Keyword เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงมากขึ้น ข้อเสีย: ปริมาณการค้นหาน้อยลง

Niche Keyword เหมาะสำหรับใช้เป็นหมวดหมู่ (Categories) หรือหมวดหมู่ย่อย (Sub-categories) ของเว็บไซต์ การปรับแต่ง SEO ให้มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คีย์เวิร์ดประเภทนี้ติดอันดับได้ดียิ่งขึ้น

3. Long-tail Keyword

Long-tail Keyword เป็นคำหรือวลียาว ๆ ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงมาก มักมีมากกว่า 3 คำขึ้นไป มีปริมาณการค้นหาน้อย แต่มีอัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) สูงกว่า เป็นหนึ่งใน target keyword ideas ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ตัวอย่าง Longtail Target Keyword:

  • รองเท้าผู้ชาย Adidas STAN SMITH รุ่น 2025
  • โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy S25 Ultra สีดำ
  • ร้านกาแฟบรรยากาศดีริมน้ำในเชียงใหม่
  • เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลีสไตล์มินิมอลสำหรับผู้หญิง
  • รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ชาร์จเร็ว

ข้อดี: แข่งขันน้อย ติดอันดับง่าย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความตั้งใจซื้อสูง ข้อเสีย: ปริมาณการค้นหาต่ำมาก

Long-tail Keyword ถือเป็น “คีย์เวิร์ดทำเงิน” ที่มีคุณค่าทางธุรกิจสูง เพราะคนที่ค้นหาด้วยคำเหล่านี้มักมีความตั้งใจซื้อสูง การใช้ปลั๊กอิน Yoast SEO จะช่วยในการจัดการคีย์เวิร์ดประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Branded Keyword

Branded Keyword เป็นคำที่มีชื่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณอยู่ในนั้น เหมาะสำหรับแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว

ตัวอย่าง Branded Keyword:

  • CIPHER Digital Marketing
  • บริษัท CIPHER
  • บริการ SEO ของ CIPHER
  • CIPHER รับทำการตลาดออนไลน์

ข้อดี: แข่งขันน้อยมาก (เพราะเป็นชื่อแบรนด์คุณเอง) และมีโอกาสได้ลูกค้าที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว ข้อเสีย: จำกัดเฉพาะคนที่รู้จักแบรนด์คุณแล้วเท่านั้น

5. Keyword ตามจุดประสงค์การค้นหา

นอกจากแบ่งตามความยาวและความเฉพาะเจาะจงแล้ว เรายังสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดตามเจตนาหรือจุดประสงค์ของผู้ค้นหาได้อีกด้วย:

Transactional Keyword: คำที่แสดงความตั้งใจซื้อหรือทำธุรกรรม

  • ซื้อ iPhone 17
  • จองโรงแรมในภูเก็ต
  • สมัครคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

Informational Keyword: คำที่แสดงความต้องการข้อมูลหรือความรู้

  • SEO Keyword คืออะไร
  • วิธีทำพาสต้าคาโบนาร่า
  • อาการไข้หวัดใหญ่

Commercial Keyword: คำที่ใช้เปรียบเทียบตัวเลือกก่อนตัดสินใจซื้อ

  • เปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้า 2025
  • รีวิวกล้อง mirrorless
  • คลินิกจัดฟันราคาไม่เกิน 50,000

Navigational Keyword: คำที่ใช้เพื่อค้นหาเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะ

  • Facebook login
  • CIPHER contact
  • ช่อง 3 สด

การเข้าใจจุดประสงค์การค้นหาเป็นส่วนสำคัญของการวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ

วิธีหา Keyword ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

การหาคีย์เวิร์ดที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนใน SEO Keyword Research ที่เหมาะสม:

1. ทำความเข้าใจ 3 ปัจจัยหลักในการเลือก Keyword SEO ที่ดี

ความเกี่ยวข้อง (Relevance): คีย์เวิร์ดต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ (User’s Intent) Google มีอัลกอริทึมที่ทำงานเบื้องหลังเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้มากที่สุด

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authority): เนื้อหาที่ใช้คีย์เวิร์ดนั้นต้องแสดงความเชี่ยวชาญ ให้คุณค่า และเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ไม่ใช่เนื้อหาที่ลอกเลียนแบบมาจากที่อื่น

ปริมาณการค้นหา (Search Volume): ควรตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดมีปริมาณการค้นหาเพียงพอหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Keyword Planner

การทำความเข้าใจเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญตามหลักการทำ SEO ที่ถูกต้อง

2. ระบุประเภทของคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ

ตามที่เราได้พูดถึงประเภทของ Keyword SEO ไปแล้ว ลองพิจารณาว่าประเภทไหนเหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ:

  • ถ้าต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ อาจเริ่มจาก Generic Keyword
  • ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายเร็ว ๆ ควรมุ่งเน้นที่ Longtail Target Keyword ที่มีเจตนาซื้อสูง
  • ถ้าแบรนด์เป็นที่รู้จักแล้ว ควรใช้ Branded Keyword ควบคู่ไปด้วย

3. นำคีย์เวิร์ดไปใส่ในหน้าเว็บเพจที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้

เมื่อหาคีย์เวิร์ดได้แล้ว ให้นำไปใส่ในหน้าเว็บเพจที่เหมาะสม เช่น:

  • ถ้าเป็นคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับการซื้อสินค้า ควรใส่ในหน้าสินค้า (Product Page)
  • ถ้าเป็นคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับข้อมูลความรู้ ควรใส่ในหน้าบทความ (Blog Post)

ทดสอบโดยลองค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นบน Google ดูว่าผลลัพธ์ที่แสดงเป็นแบบไหน เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้

4. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อกรองให้เหลือคำที่ดีที่สุด

มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เช่น:

Google Keyword Planner: เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยในการหา Keyword โดยให้ข้อมูลปริมาณการค้นหาและแนวโน้มของคีย์เวิร์ด

Ubersuggest: เครื่องมือที่รองรับภาษาไทย ใช้งานง่าย และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ดี ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Ahrefs: เครื่องมือระดับมืออาชีพที่มีความแม่นยำสูง ให้ข้อมูลครอบคลุมทั้งเรื่อง Keyword SEO และคู่แข่ง

SEMrush: เครื่องมือครบวงจรที่ช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและตรวจสอบคู่แข่ง

Google Trends: ช่วยดูแนวโน้มและกระแสของคำค้นหาต่าง ๆ ทำให้ได้ target keyword ideas ที่กำลังเป็นที่นิยม

ธุรกิจควรโฟกัส Keyword มากน้อยแค่ไหน?

คำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อเริ่มทำ SEO Keyword Research คือ ควรโฟกัสกี่คีย์เวิร์ดดี? คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก:

1. หมวดหมู่สินค้าของธุรกิจ

ถ้าธุรกิจมีหมวดหมู่สินค้าหลากหลาย ก็ต้องใช้ Keyword SEO มากขึ้นตามไปด้วย เช่น ธนาคารที่มีผลิตภัณฑ์ทั้งสินเชื่อ บัตรเครดิต ประกัน ฯลฯ ก็ต้องวางแผนคีย์เวิร์ดให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์

2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ถ้าเป็นตลาดทั่วไป (Mass Market) และแบรนด์เป็นที่รู้จัก สามารถใช้ Branded Keyword ร่วมกับ Non-branded Keyword ได้ ถ้าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) หรือแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ควรเน้นที่ Generic Keyword และ Niche Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการมากกว่า

3. เป้าหมายของแต่ละหน้าเว็บไซต์

แต่ละหน้าในเว็บไซต์ควรมีเป้าหมายและคีย์เวิร์ดหลักที่ชัดเจน ไม่ควรใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันในทุกหน้า เพราะจะทำให้เกิดการแข่งขันกันเองภายในเว็บไซต์ (Keyword Cannibalization)

การสร้าง Persona เพื่อค้นหา Keyword ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

การสร้าง persona คือ การกำหนดตัวตนสมมติของกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้การค้นหาคีย์เวิร์ดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณจะเข้าใจว่าลูกค้าคิดและค้นหาอย่างไร

ทำไมต้องสร้าง Persona ในการทำ Keyword SEO

เมื่อเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง คุณจะสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ (User’s Intent) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เว็บไซต์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้และมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น

องค์ประกอบสำคัญของ Persona สำหรับการทำ Keyword SEO

  1. ข้อมูลประชากรศาสตร์: อายุ เพศ รายได้ การศึกษา อาชีพ
  2. พฤติกรรมออนไลน์: แพลตฟอร์มที่ใช้ ช่วงเวลาที่ใช้อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ที่ใช้ค้นหา
  3. ความต้องการและปัญหา: ปัญหาที่กำลังแก้ไข สิ่งที่กำลังค้นหา
  4. ภาษาที่ใช้: คำศัพท์เฉพาะกลุ่ม สำนวนที่ใช้เป็นประจำ
  5. ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ: อยู่ในขั้นตอนไหนของ Customer Journey

ตัวอย่าง Persona และคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

Persona: คุณนุช (ผู้หญิงวัย 28 ปี นักการตลาดดิจิทัล)

  • ปัญหา: ต้องการให้เว็บไซต์บริษัทติดอันดับบน Google แต่มีงบประมาณจำกัด
  • ขั้นตอนการตัดสินใจ: กำลังศึกษาข้อมูล (Awareness Stage)
  • ภาษาที่ใช้: คำศัพท์ด้านการตลาดดิจิทัล ชอบความกระชับ
  • คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: “SEO ทำเอง งบน้อย”, “วิธีทำ SEO เบื้องต้น”, “เครื่องมือ SEO ฟรี ภาษาไทย”

Persona: คุณสมชาย (ผู้จัดการบริษัท SME วัย 45 ปี)

  • ปัญหา: ต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์แต่ไม่มีความรู้ด้าน SEO
  • ขั้นตอนการตัดสินใจ: กำลังเปรียบเทียบบริการ (Consideration Stage)
  • ภาษาที่ใช้: เน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจ ชอบข้อมูลที่มีตัวเลขชัดเจน
  • คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: “บริการ SEO ราคา ROI คุ้มค่า”, “จ้างทำ SEO เพิ่มยอดขาย”, “เปรียบเทียบบริษัท SEO กรุงเทพ”

วิธีนำ Persona มาใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ด

  1. ลองคิดในมุมของ Persona: “หากฉันเป็นคุณนุช ฉันจะค้นหาอย่างไร?”
  2. วิเคราะห์ช่องทางที่ Persona ใช้: ค้นหาฟอรัม กลุ่ม Facebook หรือคอมเมนต์ในบล็อกที่กลุ่มเป้าหมายมักใช้
  3. จัดกลุ่มคีย์เวิร์ดตาม Customer Journey: แบ่งคีย์เวิร์ดตามขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของ Persona
  4. ปรับภาษาให้เข้ากับ Persona: ใช้คำศัพท์และโทนเสียงที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อรวม Persona เข้ากับเทคนิคการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คุณจะได้กลยุทธ์ SEO ที่ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

บริการด้าน Keyword SEO จาก CIPHER

ที่ CIPHER เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่พร้อมช่วยคุณในการหาคีย์เวิร์ดอย่างมืออาชีพ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ บน Google ได้อย่างยั่งยืน

บริการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

เราใช้เครื่องมือและประสบการณ์ในการทำ SEO Keyword Research เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ โดยพิจารณาทั้งปริมาณการค้นหา การแข่งขัน และความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ

จัดทำแผนที่คีย์เวิร์ดครบวงจร

เราไม่ได้แค่หาคีย์เวิร์ด แต่ยังจัดทำแผนที่คีย์เวิร์ด (Keyword Mapping) ที่ระบุว่าควรใช้คีย์เวิร์ดใดในหน้าใดของเว็บไซต์ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ใช้

วิเคราะห์คู่แข่งและช่องว่างทางการตลาด

ด้วยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ เราสามารถค้นหาช่องว่างทางการตลาดที่คู่แข่งยังไม่ได้ครอบครอง เพื่อให้คุณได้เปรียบในการแข่งขัน

สร้างเนื้อหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดและความต้องการของผู้ใช้

นอกจากวางกลยุทธ์คีย์เวิร์ดแล้ว เรายังช่วยสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตรงกับคีย์เวิร์ดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ เพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่าและควรได้รับการจัดอันดับที่ดี

ปรับปรุงกลยุทธ์คีย์เวิร์ดอย่างต่อเนื่อง

พฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจึงติดตามและปรับปรุงกลยุทธ์คีย์เวิร์ดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณรักษาอันดับที่ดีได้อย่างยั่งยืน

สรุป

การวิเคราะห์และเลือกใช้ Keyword SEO ที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำ SEO การเลือกคีย์เวิร์ดไม่ควรดูแค่ปริมาณการค้นหา แต่ต้องพิจารณาทั้งความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ความตั้งใจของผู้ใช้ และระดับการแข่งขัน เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดอย่างเป็นระบบ ผสมผสานทั้ง Generic, Niche และ Longtail Keyword เพื่อสร้างกลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ

คำถามที่พบบ่อย

Keyword คืออะไร?

Keyword คือคำหรือวลีที่ผู้ใช้พิมพ์ลงใน Search Engine เพื่อค้นหาข้อมูล เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ เมื่อคนพิมพ์คำที่ตรงกับคีย์เวิร์ดในเว็บไซต์ของคุณ Google จะแสดงเว็บไซต์คุณในผลการค้นหา

วิธีหา Keyword?

  • ใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ Ahrefs
  • วิเคราะห์คู่แข่ง ดูว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงใช้คีย์เวิร์ดอะไร
  • คิดจากมุมมองลูกค้า ลองจินตนาการว่าลูกค้าจะค้นหาสินค้า/บริการของคุณอย่างไร
  • ตรวจสอบปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของแต่ละคีย์เวิร์ด
  • เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงพอและการแข่งขันไม่สูงเกินไป

Keyword มีอะไรบ้าง?

Keyword แบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก:

  • Generic Keyword – คำกว้าง ๆ เช่น “รองเท้า”, “โทรศัพท์” (แข่งขันสูง)
  • Niche Keyword – คำเฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น “รองเท้าวิ่ง Nike”, “โทรศัพท์ Samsung”
  • Long-tail Keyword – วลียาวเฉพาะเจาะจงมาก เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง Nike Pegasus สีดำ”, “วิธีเลือกโทรศัพท์มือถือให้เหมาะกับผู้สูงอายุ”
  • Branded Keyword – คำที่มีชื่อแบรนด์ เช่น “CIPHER Digital Marketing”
  • Keyword ตามจุดประสงค์ – แบ่งเป็น Transactional (ซื้อ), Informational (หาข้อมูล), Commercial (เปรียบเทียบ) และ Navigational (หาเว็บเฉพาะ)
Scroll to Top