Table of Contents
Keyword SEO คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับการทำเว็บไซต์
Keyword SEO คือ คำหรือวลีที่คนใช้ค้นหาข้อมูลบน Search Engine (อย่าง Google) เมื่อมีคนพิมพ์คำค้นหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์คุณก็จะมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหา (Search Engine Result Pages หรือ SERPs)
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคนอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ที่พักเชียงใหม่ บรรยากาศดี” แล้วพิมพ์คำนี้ลงใน Google คำว่า “ที่พักเชียงใหม่ บรรยากาศดี” ก็คือ SEO Keyword นั่นเอง
การหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมมีความสำคัญมากต่อการทำ SEO เพราะเปรียบเสมือน:
- สะพานเชื่อมระหว่างลูกค้ากับเว็บไซต์ – ช่วยคัดกรองให้คนที่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณจริง ๆ เข้ามาที่เว็บไซต์
- ทำเลของร้านค้าบนโลกออนไลน์ – เหมือนการเปิดร้านบนทำเลทอง ถ้าเลือก Keyword SEO ที่มีปริมาณค้นหาสูงและเว็บคุณติดอันดับดี ๆ ก็เหมือนมีหน้าร้านอยู่ในทำเลทองที่มีคนเดินผ่านเยอะ
- ตัวชี้วัดโอกาสความสำเร็จ – ช่วยให้คุณวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้ว่าเว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงหรือไม่ ต้องลงทุนมากแค่ไหนในการแข่งขัน
ประเภทของ Keyword ที่นักทำ SEO ต้องรู้จัก
1. Generic Keyword (Seed Keyword)
Generic Keyword เป็นคำกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง มักประกอบด้วย 1-2 คำ มีปริมาณการค้นหาสูงมาก แต่ก็มีการแข่งขันสูงตามไปด้วย
ตัวอย่าง Generic Keyword:
- รองเท้า
- โทรศัพท์
- กาแฟ
- เสื้อผ้า
- รถยนต์
ข้อดี: หากติดอันดับได้ จะมีคนเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก ข้อเสีย: แข่งขันสูงมาก ติดอันดับยาก และคนที่เข้ามาอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้า/บริการของคุณ
Generic Keyword เหมาะสำหรับใช้เป็น “คำตั้งต้น” เพื่อหาคีย์เวิร์ดอื่น ๆ มากกว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดหลักในการทำ SEO
2. Niche Keyword
Niche Keyword เป็นคำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น มีการระบุรายละเอียดเพิ่มเติมจาก Generic Keyword มีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า แต่การแข่งขันก็น้อยลงด้วย
ตัวอย่าง Niche Keyword:
- รองเท้าผู้ชาย Adidas
- โทรศัพท์มือถือ Samsung
- กาแฟดอยช้าง
- เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี
- รถยนต์ไฟฟ้า
ข้อดี: แข่งขันน้อยกว่า Generic Keyword เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงมากขึ้น ข้อเสีย: ปริมาณการค้นหาน้อยลง
Niche Keyword เหมาะสำหรับใช้เป็นหมวดหมู่ (Categories) หรือหมวดหมู่ย่อย (Sub-categories) ของเว็บไซต์ การปรับแต่ง SEO ให้มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คีย์เวิร์ดประเภทนี้ติดอันดับได้ดียิ่งขึ้น
3. Long-tail Keyword
Long-tail Keyword เป็นคำหรือวลียาว ๆ ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงมาก มักมีมากกว่า 3 คำขึ้นไป มีปริมาณการค้นหาน้อย แต่มีอัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) สูงกว่า เป็นหนึ่งใน target keyword ideas ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ตัวอย่าง Longtail Target Keyword:
- รองเท้าผู้ชาย Adidas STAN SMITH รุ่น 2025
- โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy S25 Ultra สีดำ
- ร้านกาแฟบรรยากาศดีริมน้ำในเชียงใหม่
- เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลีสไตล์มินิมอลสำหรับผู้หญิง
- รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ชาร์จเร็ว
ข้อดี: แข่งขันน้อย ติดอันดับง่าย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความตั้งใจซื้อสูง ข้อเสีย: ปริมาณการค้นหาต่ำมาก
Long-tail Keyword ถือเป็น “คีย์เวิร์ดทำเงิน” ที่มีคุณค่าทางธุรกิจสูง เพราะคนที่ค้นหาด้วยคำเหล่านี้มักมีความตั้งใจซื้อสูง การใช้ปลั๊กอิน Yoast SEO จะช่วยในการจัดการคีย์เวิร์ดประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. Branded Keyword
Branded Keyword เป็นคำที่มีชื่อแบรนด์หรือธุรกิจของคุณอยู่ในนั้น เหมาะสำหรับแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว
ตัวอย่าง Branded Keyword:
- CIPHER Digital Marketing
- บริษัท CIPHER
- บริการ SEO ของ CIPHER
- CIPHER รับทำการตลาดออนไลน์
ข้อดี: แข่งขันน้อยมาก (เพราะเป็นชื่อแบรนด์คุณเอง) และมีโอกาสได้ลูกค้าที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว ข้อเสีย: จำกัดเฉพาะคนที่รู้จักแบรนด์คุณแล้วเท่านั้น
5. Keyword ตามจุดประสงค์การค้นหา
นอกจากแบ่งตามความยาวและความเฉพาะเจาะจงแล้ว เรายังสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดตามเจตนาหรือจุดประสงค์ของผู้ค้นหาได้อีกด้วย:
Transactional Keyword: คำที่แสดงความตั้งใจซื้อหรือทำธุรกรรม
- ซื้อ iPhone 17
- จองโรงแรมในภูเก็ต
- สมัครคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
Informational Keyword: คำที่แสดงความต้องการข้อมูลหรือความรู้
- SEO Keyword คืออะไร
- วิธีทำพาสต้าคาโบนาร่า
- อาการไข้หวัดใหญ่
Commercial Keyword: คำที่ใช้เปรียบเทียบตัวเลือกก่อนตัดสินใจซื้อ
- เปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้า 2025
- รีวิวกล้อง mirrorless
- คลินิกจัดฟันราคาไม่เกิน 50,000
Navigational Keyword: คำที่ใช้เพื่อค้นหาเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะ
- Facebook login
- CIPHER contact
- ช่อง 3 สด
การเข้าใจจุดประสงค์การค้นหาเป็นส่วนสำคัญของการวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
วิธีหา Keyword ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
1. ทำความเข้าใจ 3 ปัจจัยหลักในการเลือก Keyword SEO ที่ดี
ความเกี่ยวข้อง (Relevance): คีย์เวิร์ดต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ (User’s Intent) Google มีอัลกอริทึมที่ทำงานเบื้องหลังเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้มากที่สุด
ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authority): เนื้อหาที่ใช้คีย์เวิร์ดนั้นต้องแสดงความเชี่ยวชาญ ให้คุณค่า และเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ไม่ใช่เนื้อหาที่ลอกเลียนแบบมาจากที่อื่น
ปริมาณการค้นหา (Search Volume): ควรตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดมีปริมาณการค้นหาเพียงพอหรือไม่ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Keyword Planner
การทำความเข้าใจเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญตามหลักการทำ SEO ที่ถูกต้อง
2. ระบุประเภทของคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ
ตามที่เราได้พูดถึงประเภทของ Keyword SEO ไปแล้ว ลองพิจารณาว่าประเภทไหนเหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ:
- ถ้าต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ อาจเริ่มจาก Generic Keyword
- ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายเร็ว ๆ ควรมุ่งเน้นที่ Longtail Target Keyword ที่มีเจตนาซื้อสูง
- ถ้าแบรนด์เป็นที่รู้จักแล้ว ควรใช้ Branded Keyword ควบคู่ไปด้วย
3. นำคีย์เวิร์ดไปใส่ในหน้าเว็บเพจที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้
เมื่อหาคีย์เวิร์ดได้แล้ว ให้นำไปใส่ในหน้าเว็บเพจที่เหมาะสม เช่น:
- ถ้าเป็นคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับการซื้อสินค้า ควรใส่ในหน้าสินค้า (Product Page)
- ถ้าเป็นคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับข้อมูลความรู้ ควรใส่ในหน้าบทความ (Blog Post)
ทดสอบโดยลองค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นบน Google ดูว่าผลลัพธ์ที่แสดงเป็นแบบไหน เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้
4. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อกรองให้เหลือคำที่ดีที่สุด
มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เช่น:
Google Keyword Planner: เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยในการหา Keyword โดยให้ข้อมูลปริมาณการค้นหาและแนวโน้มของคีย์เวิร์ด
Ubersuggest: เครื่องมือที่รองรับภาษาไทย ใช้งานง่าย และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ดี ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Ahrefs: เครื่องมือระดับมืออาชีพที่มีความแม่นยำสูง ให้ข้อมูลครอบคลุมทั้งเรื่อง Keyword SEO และคู่แข่ง
SEMrush: เครื่องมือครบวงจรที่ช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและตรวจสอบคู่แข่ง
Google Trends: ช่วยดูแนวโน้มและกระแสของคำค้นหาต่าง ๆ ทำให้ได้ target keyword ideas ที่กำลังเป็นที่นิยม
ธุรกิจควรโฟกัส Keyword มากน้อยแค่ไหน?
1. หมวดหมู่สินค้าของธุรกิจ
2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
3. เป้าหมายของแต่ละหน้าเว็บไซต์
การสร้าง Persona เพื่อค้นหา Keyword ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
การสร้าง persona คือ การกำหนดตัวตนสมมติของกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้การค้นหาคีย์เวิร์ดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณจะเข้าใจว่าลูกค้าคิดและค้นหาอย่างไร
ทำไมต้องสร้าง Persona ในการทำ Keyword SEO
เมื่อเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง คุณจะสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ (User’s Intent) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เว็บไซต์ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้และมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น
องค์ประกอบสำคัญของ Persona สำหรับการทำ Keyword SEO
- ข้อมูลประชากรศาสตร์: อายุ เพศ รายได้ การศึกษา อาชีพ
- พฤติกรรมออนไลน์: แพลตฟอร์มที่ใช้ ช่วงเวลาที่ใช้อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ที่ใช้ค้นหา
- ความต้องการและปัญหา: ปัญหาที่กำลังแก้ไข สิ่งที่กำลังค้นหา
- ภาษาที่ใช้: คำศัพท์เฉพาะกลุ่ม สำนวนที่ใช้เป็นประจำ
- ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ: อยู่ในขั้นตอนไหนของ Customer Journey
ตัวอย่าง Persona และคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
Persona: คุณนุช (ผู้หญิงวัย 28 ปี นักการตลาดดิจิทัล)
- ปัญหา: ต้องการให้เว็บไซต์บริษัทติดอันดับบน Google แต่มีงบประมาณจำกัด
- ขั้นตอนการตัดสินใจ: กำลังศึกษาข้อมูล (Awareness Stage)
- ภาษาที่ใช้: คำศัพท์ด้านการตลาดดิจิทัล ชอบความกระชับ
- คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: “SEO ทำเอง งบน้อย”, “วิธีทำ SEO เบื้องต้น”, “เครื่องมือ SEO ฟรี ภาษาไทย”
Persona: คุณสมชาย (ผู้จัดการบริษัท SME วัย 45 ปี)
- ปัญหา: ต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์แต่ไม่มีความรู้ด้าน SEO
- ขั้นตอนการตัดสินใจ: กำลังเปรียบเทียบบริการ (Consideration Stage)
- ภาษาที่ใช้: เน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจ ชอบข้อมูลที่มีตัวเลขชัดเจน
- คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: “บริการ SEO ราคา ROI คุ้มค่า”, “จ้างทำ SEO เพิ่มยอดขาย”, “เปรียบเทียบบริษัท SEO กรุงเทพ”
วิธีนำ Persona มาใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ด
- ลองคิดในมุมของ Persona: “หากฉันเป็นคุณนุช ฉันจะค้นหาอย่างไร?”
- วิเคราะห์ช่องทางที่ Persona ใช้: ค้นหาฟอรัม กลุ่ม Facebook หรือคอมเมนต์ในบล็อกที่กลุ่มเป้าหมายมักใช้
- จัดกลุ่มคีย์เวิร์ดตาม Customer Journey: แบ่งคีย์เวิร์ดตามขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของ Persona
- ปรับภาษาให้เข้ากับ Persona: ใช้คำศัพท์และโทนเสียงที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อรวม Persona เข้ากับเทคนิคการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คุณจะได้กลยุทธ์ SEO ที่ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
บริการด้าน Keyword SEO จาก CIPHER
บริการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
จัดทำแผนที่คีย์เวิร์ดครบวงจร
วิเคราะห์คู่แข่งและช่องว่างทางการตลาด
สร้างเนื้อหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดและความต้องการของผู้ใช้
ปรับปรุงกลยุทธ์คีย์เวิร์ดอย่างต่อเนื่อง
สรุป
คำถามที่พบบ่อย
Keyword คืออะไร?
วิธีหา Keyword?
- ใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ Ahrefs
- วิเคราะห์คู่แข่ง ดูว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงใช้คีย์เวิร์ดอะไร
- คิดจากมุมมองลูกค้า ลองจินตนาการว่าลูกค้าจะค้นหาสินค้า/บริการของคุณอย่างไร
- ตรวจสอบปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของแต่ละคีย์เวิร์ด
- เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงพอและการแข่งขันไม่สูงเกินไป
Keyword มีอะไรบ้าง?
Keyword แบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก:
- Generic Keyword – คำกว้าง ๆ เช่น “รองเท้า”, “โทรศัพท์” (แข่งขันสูง)
- Niche Keyword – คำเฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น “รองเท้าวิ่ง Nike”, “โทรศัพท์ Samsung”
- Long-tail Keyword – วลียาวเฉพาะเจาะจงมาก เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง Nike Pegasus สีดำ”, “วิธีเลือกโทรศัพท์มือถือให้เหมาะกับผู้สูงอายุ”
- Branded Keyword – คำที่มีชื่อแบรนด์ เช่น “CIPHER Digital Marketing”
- Keyword ตามจุดประสงค์ – แบ่งเป็น Transactional (ซื้อ), Informational (หาข้อมูล), Commercial (เปรียบเทียบ) และ Navigational (หาเว็บเฉพาะ)