Table of Contents
คุณลองตอบคำถามคณิตศาสตร์ง่ายๆ นี้ดูสิ สมชายมีเฟืองล้อรถ 50 ตัว ขายไป 8 ตัว สมชายจะเหลือเฟืองล้อรถเท่าไร?
คราวนี้ลองดูคำถามอีกข้อ สมชายมีเฟืองล้อรถ 50 ตัว เธอได้รับคำสั่งซื้อมา 8 ตัว และจัดส่งให้ลูกค้าไป 4 ตัว สมชายจะเหลือเฟืองล้อรถเท่าไรในคลังสินค้า
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำถามเก่าๆ จากโรงเรียนประถมศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายในเรื่องของ Inventory Management และจะเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมสมชายจึงเหลือฟันเฟือง 42 ตัวในคำถามแรก แต่คำถามที่สองกลับเหลือ 46 ตัว
ในเรื่องของ Inventory Management นั้นจะซับซ้อนกว่าเลขคณิตศาสตร์แบบง่ายๆ ทั่วไป ซึ่งสมชายเหลือเฟืองล้อรถ 46 ตัวในคลังสินค้า เพราะเธอหักออกไป 4 ตัวจากคำสั่งซื้อ 8 ตัว และจะหักอีกจนกว่าจะมีการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าอีก 4 ตัว สำหรับสถานการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ที่จะต้องทำให้การจัดระเบียบ ระบบอัตโนมัติ และเทคนิคนั้นสำคัญมากเมื่อคุณมีสินค้าจำนวนเยอะแยะมากมายที่จะต้องติดตาม
ค้นพบวิธีที่จะทำให้ลูกค้าไม่ยกเลิกตะกร้าสินค้าตอนที่เข้ามาดูร้านค้าออนไลน์ของคุณ
เพื่อช่วยให้คุณได้เข้าสู่เรื่องของ Inventory Management เราจะอธิบายว่า Inventory Management คืออะไรในโลกของอีคอมเมิร์ซ (Ecommerce) ซึ่งก็คือซอฟต์แวร์ (Software) ที่สนับสนุนกระบวนการติดตามอย่างต่อเนื่อง และเทคนิคทั่วไปในการทำให้การบริหารและจัดการสินค้าคงคลังนั้นประสบความสำเร็จนั่นเอง
คำจำกัดความของ Inventory Management
Inventory Management หรือ การจัดการสินค้าคงคลัง คือการดูแลปริมาณ ความหลากหลาย ราคา และตำแหน่งของสินค้าที่พร้อมใช้งานของธุรกิจ และหากมีสินค้าใดๆ อยู่ในสต๊อกก็จะนับเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าคงคลังในธุรกิจและจัดการแบบการเคลื่อนที่ของห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชน (Supply Chain)
ดังนั้นสินค้าที่พร้อมใช้งานก็จะถูกระบุไว้ในหน้าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในตัวอย่างเฟืองล้อรถ 50 ตัวของสมชาย เธอจึงเหลือ 46 ตัว หลังจากขายไป 8 ตัว ซึ่งการที่รู้ว่าเธอมีสินค้าคงคลังอยู่เท่าไร แล้วมีคำสั่งซื้อสินค้าเท่าไร และมีการส่งสินค้าหรือการรับสินค้ามาเท่าไรนั้นล้วนเป็นเรื่องทั้งหมดของ Inventory Management ขั้นพื้นฐาน
อย่างไรก็ตามในเรื่องของ Inventory Management จะไม่รวมถึงทรัพย์สินของบริษัท เครื่องมือการผลิต และรูปแบบการลงทุนธุรกิจอื่นๆ แต่สามารถรวมถึงชิ้นส่วนแยกต่างหากของสินค้าที่ยังไม่ได้รับการประกอบรวมกันเพื่อส่งให้ลูกค้า ซึ่งวิธีที่ชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกนับเมื่อเทียบกับสินค้าสำเร็จรูปจะขึ้นอยู่กับรูปแบบสินค้าที่ส่งมอบให้กับลูกค้า
ซอฟต์แวร์สำหรับ Inventory Management
เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มเติบโตขึ้นจะยิ่งทำให้การจัดการสินค้าคงคลังเริ่มยากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งลูกค้าของคุณย่อมคาดหวังว่าจะได้เห็นสถานะของสินค้าพร้อมใช้งานหรือพร้อมส่ง และสถานะของสินค้าในแต่ละขั้นตอนการซื้อ
ซึ่งเป็นเรื่องที่โชคดีที่มีเครื่องมือการจัดการสินค้าคงคลังจำนวนมากมายในตลาดทุกวันนี้ ที่รวมเข้ากับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซและยังช่วยให้คุณตรวจสอบซัพพลายเชนของคุณได้ และเพื่อให้คุณได้สามารถเลือกใช้ซอฟต์แวร์ได้อย่างง่ายดาย เราจึงได้รวบรวม 7 ซอฟต์แวร์ที่เป็นโซลูชัน (Solutions) ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซตามด้านล่างนี้
Delivrd (Free)
Delivrd คือโซลูชันฟรีสำหรับจัดการคำสั่งซื้อทางออนไลน์ผ่านระบบคลาวด์ (Cloud-Based) สำหรับธุรกิจทุกขนาด ซึ่งระบบปฏิบัติการจะเป็นการติดตามคลังสินค้า พิมพ์บาร์โค้ด วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของสินค้า หรือแม้แต่การรวมกลุ่มคำสั่งซื้อที่ยังไม่ได้มีการจัดส่งไว้ด้วยกันเพื่อทำการส่งในภายหน้า
Notify Me (Free)
Notify Me เป็นซอฟต์แวร์การจัดการสินค้าคงคลังฟรี ซึ่งใช้สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ใช้ Shopify เป็นช่องทางการขายของ และนอกจากการดูสินค้าที่มีอยู่ในร้านค้าของคุณแล้ว Notify Me ยังช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนอัตโนมัติสำหรับสินค้าที่หมดสต๊อกได้ สำหรับผู้ที่ใช้ Shopify สามารถดาวน์โหลดเว็บแอปพลิเคชันโดยการคลิกที่นี่ได้เลย
Oberlo (Free สำหรับ 50 Orders/เดือน)
Oberlo เป็นหนึ่งในด้านการบริการการจัดการสินค้าคงคลังที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าแบบ Dropshipping หรือธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงจากผู้ผลิต โดยที่คุณไม่ต้องจัดเก็บสินค้าไว้เอง คุณสามารถสร้างกฎต่างๆ ได้เอง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคา การจัดเรียงสินค้าตามเวลาในการจัดส่ง การติดตามการจัดส่ง การเปลี่ยนแปลงผู้จำหน่ายสินค้าและอื่น ๆ นอกจากนี้ Oberlo ยังมีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ Shopify อีกด้วย
Ordoro (เริ่มต้น $25/เดือน)
Ordoro เป็นเครื่องมือจัดส่งแบบระบบ Cloud-based สำหรับการจัดการสินค้าคงคลังในทุกขั้นตอนการขาย ซึ่งจะเป็นบริการอัตโนมัติสำหรับคำขอการจัดสั่งสินค้า ธุรกิจแบบ Dropshipping การสแกนบาร์โค้ด และการจัดการซัพพลายเออร์ และยังสามารถแสดงข้อมูลรายได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time) ได้เลย ซึ่ง Ordoro ทำงานร่วมกับช่องทางการขายและ Shipping Carriers มากกว่า 24 ที่ อีกทั้งยังมีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ Shopify อีกด้วยเช่นกัน
inFlow (เริ่มต้น $69/เดือน)
เมื่อคุณใช้ InFlow คุณจะได้รับเงินเป็นจำนวนมากสำหรับสิ่งที่คุณจ่ายไป ซึ่งซอฟต์แวร์นี้เป็นการจัดการสินค้าคงคลังแบบ Cloud-Based สามารถช่วยจัดการระบบบิล บาร์โค้ด ใบสั่งงาน หมายเลขผลิตภัณฑ์ สินค้าปลายทางและอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้าของคุณหรืออยู่ในระหว่างการขนส่ง นอกจากนี้ InFlow ยังสามารถใช้งานผ่าน Windows และ Android Applications จึงช่วยให้คุณจัดการสินค้าคงคลังผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เลย
Skubana (ขอใบเสนอราคา)
Skubana ได้เชื่อมต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซกับผู้ค้าปลีกทั่วโลก ซอฟต์แวร์นี้สามารถช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อของลูกค้าและจัดการขั้นตอนการใส่สต๊อกได้เอง ไปพร้อมกับการทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีกรายอื่นที่อาจจะต้องการขายสินค้าของคุณ อีกทั้ง Skubana ยังช่วยในการติดตามขั้นตอนตามคำสั่งซื้อจากคลังสินค้าหลายแห่ง และคาดการณ์ในเรื่องอุปทานหรือความต้องการ (Demand Forcasts) ของสินค้า ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้คุณได้ขยายสายผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของคุณได้ นอกจากนี้ยังมีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ Shopify อีกเช่นกัน
Unleashed (เริ่มต้น $85/เดือน)
Unleashed เป็นโซลูชันการจัดการสินค้าคงคลังแบบยืดหยุ่น ที่ช่วยให้ลูกค้าอีคอมเมิร์ซสามารถทำการตัดสินใจครั้งสำคัญในเรื่องของสายผลิตภัณฑ์ของตนได้โดยอาศัยข้อมูลเรียลไทม์ ซึ่งตามรายงานในเว็บไซต์ของ Unleashed ได้กล่าวไว้ว่าซอฟต์แวร์นี้เหมาะสมมากสำหรับผู้ผลิต อีกทั้งยังนำเสนอข้อมูลสินค้าคงคลังที่สำคัญที่สุดได้อย่างสะดวกในโทรศัพท์มือถือของคุณ
เทคนิคสำหรับ Inventory Management
แม้ว่าสต๊อกที่พร้อมใช้งานของธุรกิจในแต่ละวันจะเป็นเพียงภาพรวมของสินค้าคงคลัง การจัดการสินค้าคงคลังแบบการติดตามอย่างต่อเนื่อง และการเปรียบเทียบหลายช่วงเวลาของสินค้าคงคลังกับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจสามารถช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถตัดสินใจในระยะยาวเกี่ยวกับซัพพลายเชนได้อย่างคุ้มค่า
บริษัทอีคอมเมิร์ซหลายบริษัทสามารถจัดการกับสินค้าคงคลังของพวกเขาได้หลายวิธี แต่ไม่ใช่ทุกวิธีในการจัดการที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกตามที่คุณต้องการที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น และต่อไปนี้คือเทคนิคที่แตกต่างกันไปสำหรับ Inventory Management ซึ่งคุณสามารถลองเลือกใช้ประโยชน์ของแต่ละวิธีได้
Just-In-Time (การผลิตแบบทันเวลาพอดี)
เทคนิคสำหรับ Inventory Management ในข้อนี้ คือสต๊อกสินค้าทุกครั้งที่ลูกค้าทำการสั่งซื้อเข้ามา ดังนั้นปริมาณสินค้าคงคลังของคุณจะมากหรือน้อยก็จะเท่ากับจำนวนคำสั่งซื้อที่คุณกรอกไว้
ซึ่งข้อได้เปรียบของเทคนิค Just-In-Time (JIT) หรือการผลิตแบบทันเวลาพอดี คือคุณจะจัดการเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต้องจัดส่งให้กับลูกค้าเท่านั้น อย่างไรก็ตามการรักษา Just-In-Time ในระยะยาวจะทำให้คุณต้องเฝ้าติดตามพฤติกรรมการซื้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้คุณสามารถคาดการณ์ความต้องการสินค้าคงคลังล่วงหน้าได้ทัน
First In, First Out (เข้าก่อน – ออกก่อน)
First In, First Out (FIFO) หรือเข้าก่อน – ออกก่อน หมายถึงสินค้าใดที่เข้าคลังสินค้าก่อน สินค้านั้นก็จะถูกจัดส่งให้กับลูกค้าก่อน
ซึ่งเทคนิคนี้จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณจะไม่คงค้างอยู่ในคลังสินค้านานเกินไปก่อนที่จะส่งมอบให้กับลูกค้า นอกจากนี้ FIFO ยังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะต้องกำจัดสินค้าที่หมดอายุหรือเน่าเสียและจัดส่งแต่อาหารสดเท่านั้น
PAR Levels
การตั้งค่า PAR Levels จะสามารถช่วยให้ธุรกิจปลอดภัยได้ โดยการตรวจสอบให้แน่ใจตลอดเวลาว่าปริมาณสินค้าคงคลังมีปริมาณขั้นต่ำหรือไม่ ดังนั้นแม้ว่าบริษัทจะใช้วิธี Just-In-Time ซึ่งจะจัดเก็บเฉพาะสินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อเท่านั้น บริษัทก็จะมีสินค้าที่พร้อมใช้หรือพร้อมส่งได้เสมอ
แต่ในท้ายที่สุด PAR Levels นั้นไม่ได้ใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินที่คุณจะต้องมีสินค้าสำรองไว้ แต่แค่เป็นการสร้างขั้นคำเตือนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องสั่งซื้อของบางอย่างมามากขึ้น และเมื่อสินค้าคงคลังของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่ระบุไว้คุณจึงจะต้องสั่งของเข้ามาเพิ่มเติม
คุณควรกำหนด PAR Level ตามระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเติมสินค้าในคลัง ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่ธุรกิจใช้เวลาในการผลิตนานที่สุดควรจะมี PAR Level สูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของธุรกิจ เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีโอกาสที่จะหมดก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่มาเติมได้ทัน
การวิเคราะห์จัดกลุ่มด้วยระบบ ABC (ABC Analysis)
ABC Analysis หรือการวิเคราะห์จัดกลุ่มด้วยระบบ ABC เป็นการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ของธุรกิจเป็น 3 ประเภทตามความสำคัญของสินค้า รายละเอียดทั่วไปของแต่ละหมวดหมู่มีดังนี้:
- ประเภท A: ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง แต่มีปริมาณน้อย
- ประเภท B: ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าปานกลางและมีปริมาณพอสมควร
- ประเภท C: ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำ แต่มีปริมาณมาก
การจัดกลุ่มข้างต้นมีอีกชื่อหนึ่งคือ Selective Inventory Control หรือการควบคุมสินค้าคงคลังแบบเลือกสรรโดยเทคนิคการจัดการสินค้าคงคลังนี้ช่วยให้ธุรกิจที่มีสายผลิตภัณฑ์หลากหลาย สามารถจัดลำดับความสำคัญของสินค้าคงคลังได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกันกับเทคนิค Just-In-Time ความสำเร็จภายใต้ ABC Analysis มาจากการสังเกตความสนใจของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น และผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจไม่เข้ากับประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น สโนว์บอร์ดอาจมีมูลค่าสูงตามเกณฑ์ผลิตภัณฑ์ประเภท A ตลอดเวลา แต่ก็อาจมีปริมาณมากในช่วงฤดูหนาวตามเกณฑ์ผลิตภัณฑ์ประเภท C ได้เช่นกัน
Dropshipping
อาจมองได้ว่า Dropshipping เป็นเหมือนกับขั้วตรงข้ามของสินค้าคงคลัง ซึ่งคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของ Oberlo เป็นเครื่องมือการจัดการสินค้าคงคลังที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ คือการจัดส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังลูกค้าโดยตรง โดยผู้ขายไม่ต้องจัดเก็บสินค้าไว้เอง
Dropshipping สามารถให้ประโยชน์กับธุรกิจที่ยังไม่มีพื้นที่การเก็บสินค้าของตนเอง แต่เพราะว่าคุณไม่ได้จัดการการจัดส่งด้วยตัวคุณเอง ดังนั้นการสื่อสารกับฝ่ายจัดส่งจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการส่งมอบสินค้าให้ตรงเวลาและทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
Demand Forecasting (การคาดการณ์ความต้องการ)
ซอฟต์แวร์ Inventory Management ของคุณอาจจะช่วยคุณคาดการณ์ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องสร้างการคาดการณ์ในระยะยาว (หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งปี) สำหรับตอนที่ยอดขายของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทมีความผันผวน
วิธีหนึ่งที่ใช้ในการคาดการณ์อุปทานคือการดูยอดขายโดยรวมทั้งหมดจากปีที่แล้วเป็นแนวทางว่าสินค้าคงคลังของคุณในแต่ละช่วงของปีนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจได้รับผลมาจากสภาวะของตลาดหรือเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แต่คุณก็ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในการจัดทำกลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ซอฟต์แวร์ที่คุณใช้ในการจัดการสินค้าคงคลังอัตโนมัติของคุณไม่ได้คำนึงถึงตัวแปรเหล่านี้
เคล็ดลับสุดท้ายเกี่ยวกับ Inventory Management คือการรักษาความสัมพันธ์กับทุกๆ ฝ่ายที่ต้องสัมผัสสินค้าจากธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจัดส่งสินค้าหรือพนักงานใหม่ เพราะสภาพของสินค้าคงคลังของคุณนั้นขึ้นอยู่กับการสื่อสารอย่างชัดเจนระหว่างตัวคุณกับเพื่อนร่วมงาน และควรสนับสนุนพวกเขาให้ดีเหมือนกับลูกค้าที่เข้ามาดูร้านค้าออนไลน์หรือธุรกิจ E-Commerce ของคุณ