คู่มือสำหรับเจ้าของธุรกิจ: การเริ่มต้นกับระบบ E-Commerce สำหรับ B2B

คู่มือสำหรับเจ้าของธุรกิจ: การเริ่มต้นกับระบบ E-Commerce สำหรับ B2B

Table of Contents

สำหรับเจ้าของธุรกิจ การแข่งขันและต่อสู้กับคู่แข่งในตลาด เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ B2B ที่ต้องเริ่มสร้างช่องทางการขายใหม่ ๆ ด้วยระบบ E-Commerce แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะการเริ่มต้นกับ E-Commerce สำหรับ B2B จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยในบทความนี้จะเป็น “คู่มือสำหรับเจ้าของธุรกิจ” ที่ต้องการเริ่มต้นกับการใช้ระบบ E-Commerce สำหรับ B2B เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที

ประโยชน์ของเจ้าของธุรกิจ B2B ที่ใช้งานระบบ E-Commerce

ประโยชน์ของเจ้าของธุรกิจ B2B ที่ใช้งานระบบ E-Commerce

 

เจ้าของธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจ B2B ที่การซื้อขายหรือการทำการตลาดแบบเดิม อาจจะทำให้เสียเปรียบคู่แข่งและสูญเสียโอกาสสร้างยอดขายจากโลกออนไลน์ได้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบ E-Commerce จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขายให้กับธุรกิจ B2B ได้

นอกจากนี้การใช้ระบบ E-Commerce ยังสามารถทำให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางขึ้นยังสามารถสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และที่สำคัญเว็บไซต์ E-commerce ที่ออกแบบมาอย่างดี จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ ที่สำคัญยังสามารถใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ลูกค้าและนำไป ช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย

คู่มือสำหรับเจ้าของธุรกิจ: ขั้นตอนการเริ่มต้นระบบ E-commerce สำหรับ B2B

ขั้นตอนการเริ่มต้นระบบ E-commerce สำหรับ B2B

 

1. เจ้าของธุรกิจควรทำความเข้าใจระบบ E-Commerce สำหรับ B2B

ระบบ E-Commerce สำหรับ B2B แตกต่างจากระบบ E-Commerce สำหรับ B2C เนื่องจาก B2B เน้นการขายสินค้าหรือบริการระหว่างธุรกิจกันเอง เช่น บริษัทผู้ผลิตขายสินค้าให้กับตัวแทนจำหน่ายหรือตัวแทนขาย ระบบนี้ต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนมากกว่า เช่น การกำหนดราคาขายตามระดับลูกค้า การจัดการคำสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องศึกษาการใช้งานระบบเพื่อให้สามารถนำฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มระบบ E-Commerce มาปรับใช้ให้เหมาะกับรูปแบบของธุรกิจได้

2. เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการวางแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

การเตรียมตัวก่อนการใช้ E-Commerce สำหรับ B2B เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น โดยเจ้าของธุรกิจควรเริ่มจากการวิเคราะห์ตลาดและความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย เพื่อกำหนดทิศทางและฟีเจอร์ของระบบที่เหมาะสม นอกจากนี้ การวางแผนเรื่องโลจิสติกส์ การจัดการสินค้าคงคลัง และระบบชำระเงินก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยการวางแผนระบบ E-Commerce สำหรับ B2B ควรพิจารณาเรื่องต่อไปนี้

  • โครงสร้างการตั้งราคา: การกำหนดราคาสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก B2B มักมีราคาที่ปรับตามเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ปริมาณการสั่งซื้อ หรือสัญญาที่ทำไว้กับลูกค้า
  • การผสานรวมกับระบบอื่นๆ: ระบบ E-Commerce ควรเชื่อมต่อกับระบบ ERP, CRM และระบบจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อช่วยให้กระบวนการจัดการการขายและการสั่งซื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การจัดการผู้ใช้หลายระดับ: เนื่องจาก B2B มักมีลูกค้าที่เป็นองค์กร ระบบ E-Commerce ควรรองรับการจัดการผู้ใช้หลายระดับภายในองค์กรเดียวกัน เพื่อให้แต่ละผู้ใช้สามารถเข้าถึงสิทธิ์ที่แตกต่างกัน เช่น การขอใบเสนอราคา หรือการตรวจสอบสถานะคำสั่งซื้อ

3. เลือกแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่เหมาะสม

การเลือกแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ B2B เป็นขั้นตอนสำคัญ แพลตฟอร์มต่างๆ มาพร้อมฟีเจอร์ที่หลากหลาย แต่ควรเลือกแพลตฟอร์มที่รองรับการขายแบบ B2B โดยเฉพาะ เช่น Shopify Plus หรือ Magento ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบธุรกิจ

โดย Shopify Plus มาพร้อมกับ Shopify Implementation Service ที่เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการระบบที่ปรับแต่งได้ง่ายและสามารถขยายการเติบโตได้ในอนาคต โดย Shopify Plus มีฟีเจอร์เฉพาะสำหรับ B2B เช่น การจัดการคำสั่งซื้อที่มีปริมาณมาก ระบบการตั้งค่าราคาขายแบบ B2B และการผสานรวมกับระบบ ERP อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย และ Magento อีกหนึ่งแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับแต่งฟีเจอร์

 

4. การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีสำหรับ B2B

นอกจากการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมแล้ว การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience หรือ UX) ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้ ระบบ E-Commerce สำหรับ B2B ควรใช้งานง่าย มีฟังก์ชันการค้นหาสินค้าที่มีประสิทธิภาพ การแสดงข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด และการออกแบบที่ตอบสนองกับอุปกรณ์ทุกประเภท 

5. กลยุทธ์การตลาดสำหรับ E-Commerce B2B

การตลาดสำหรับ E-Commerce B2B มีความแตกต่างจาก B2C เนื่องจากการซื้อขายใน B2B มักจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้ซื้อหลายฝ่าย และกระบวนการตัดสินใจที่ยาวนานกว่า การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เช่น บทความหรือวิดีโอที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้า หรือการใช้งานสินค้านั้น ๆ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสำหรับ B2B เช่น

  • การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: บทความที่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ เช่น คู่มือการใช้งาน หรือกรณีศึกษา จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
  • การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า: การให้บริการหลังการขายที่ดีและการสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เช่น การส่งอีเมลอัปเดตข้อมูลสินค้าใหม่ จะช่วยสร้างความภักดีให้กับลูกค้า

หลังจากเริ่มใช้ระบบ E-Commerce สำหรับ B2B แล้ว เจ้าของธุรกิจควรวัดผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics หรือเครื่องมือวัดผลจากแพลตฟอร์ม E-Commerce เอง เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมของลูกค้าและปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป

การเริ่มต้นกับ E-Commerce สำหรับ B2B ต้องมีการวางแผนที่ดีและการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ธุรกิจควรคำนึงถึงการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย นอกจากนี้ การวัดผลและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ 

ดังนั้นคุณลองถามกับตัวเองว่าจะทำการตลาดธุรกิจกับบริหารจัดการธุรกิจและวางแผนอย่างไร? หากคุณไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ ที่จะก้าวนำคู่แข่ง และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการขาย E-Commerce สำหรับ B2B สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในระบบ E-Commerce ได้ที่: (คลิกที่นี่)


Scroll to Top