การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Shopify Plus

การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Shopify Plus

Table of Contents

ในยุคที่ธุรกิจ E-Commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากการหา วิธีเพิ่มยอดขายด้วย Shopify Plus การหาวิธีลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการขยายตลาดและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่ง ทำให้แพลตฟอร์ม Shopify Plus กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการโซลูชันการค้าปลีกที่มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ด้วยฟีเจอร์ที่รองรับการขยายธุรกิจ ลดความซับซ้อนในการจัดการระบบ และเพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน Shopify Plus ทำให้ช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและระบบการทำงาน ขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน

การรวมระบบ ERP และ CRM เข้ากับ Shopify Plus มีประโยชน์อย่างไร?

Shopify Plus เป็นแพลตฟอร์มที่มีฟีเจอร์ที่สามารถผสานการทำงานกับแอปพลิเคชันและเครื่องมือต่าง ๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะการรวมระบบต่าง ๆ เช่น ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เข้ากับ Shopify Plus เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

อีกทั้งการรวมระบบเหล่านี้เข้าด้วยกัน ยังทำให้การทำงานของแพลตฟอร์มช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ E-Commerce และลดความซับซ้อนในขั้นตอนการจัดการข้อมูล ตั้งแต่การจัดการสินค้าคงคลังและการเงิน ไปจนถึงการจัดการความสัมพันธ์ กับลูกค้า นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการขยายตัวของธุรกิจได้อีกด้วย

การรวมระบบ ERP และ CRM เข้ากับ Shopify Plus

 

ประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมระบบการรวมระบบ ERP กับ Shopify Plus

ERP เป็นระบบที่ช่วยในการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ของธุรกิจ เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การเงิน และการดำเนินการทั่วไป โดยการเชื่อมต่อ Shopify Plus กับระบบ ERP ช่วยให้ธุรกิจ E-Commerce สามารถติดตามสถานะสินค้าคงคลังได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การจัดการสินค้าคงคลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาสินค้าหมดหรือสินค้าค้างสต๊อก

อีกทั้งระบบ ERP ยังช่วยบันทึกคำสั่งซื้อและติดตามกระบวนการทางการเงินแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาในการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ E-Commerce ขนาดใหญ่ที่มีสินค้าจำนวนมาก สามารถใช้การเชื่อมต่อระหว่าง Shopify Plus และ ERP เพื่ออัปเดตสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติหลังจากที่ลูกค้าทำการสั่งซื้อ และประสานงานกับทีมคลังสินค้าในการจัดส่งสินค้า ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการสินค้าในสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมระบบการรวมระบบ CRM กับ Shopify Plus

CRM เป็นระบบที่ช่วยในการจัดการข้อมูลลูกค้า การรวมระบบนี้กับ Shopify Plus จะช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยข้อมูลจาก Shopify Plus จะถูกซิงค์กับระบบ CRM เพื่อให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อของลูกค้าได้ ทำให้การเสนอโปรโมชันและแคมเปญต่าง ๆ เป็นไปตามพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ระบบ CRM ยังช่วยในการติดตามและบันทึกการสื่อสารกับลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้า รวมไปถึงจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจและความจงรักภักดีต่อแบรนด์

 เช่น ร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าแฟชั่นสามารถใช้ระบบ CRM ในการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าบ่อย ๆ แล้วใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อส่งอีเมลหรือข้อความแจ้งเตือนไปยังกลุ่มลูกค้าที่สนใจ เมื่อมีคอลเลกชันใหม่ออกมา ทำให้ช่วยลดขั้นตอนในการทำการตลาดและเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้

Shopify Plus ทำให้การบริหารจัดการสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?

Shopify Plus ช่วยให้การบริหารจัดการสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจ E-Commerce มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผ่านการผสมผสานฟีเจอร์ขั้นสูงและการรวมเข้ากับระบบภายนอก ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดข้อผิดพลาด ตัวอย่างฟีเจอร์และโซลูชันที่สำคัญได้แก่

 

1. Shopify Plus สามารถการจัดการสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Shopify Plus มาพร้อมกับระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสินค้าทั้งหมดในคลังได้อย่างละเอียด โดยสามารถดูได้ว่าสินค้าใดมีปริมาณเท่าไหร่ และนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ E-Commerce ที่ขายเสื้อผ้าออนไลน์ สามารถใช้ Shopify Plus ในการตรวจสอบว่าสินค้าบางรุ่นขาดตลาดและจัดการสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติ ทำสามารถจัดการกับสินค้าในสต๊อกให้ไม่พลาดยอดขายเพราะสินค้าหมด

2. Shopify Plus สามารถนำเสนอขายสินค้าได้หลายช่องทาง

Shopify Plus รองรับการขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, และร้านค้าออฟไลน์ ซึ่งช่วยให้การจัดการสินค้าคงคลังเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถดูข้อมูลสินค้าคงเหลือในทุกช่องทางได้จากแพลตฟอร์มเดียว เช่น ธุรกิจที่ขายสินค้าผ่านทั้งเว็บไซต์ Shopify Plus และช่องทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook สามารถอัปเดตสินค้าคงคลังแบบอัตโนมัติเมื่อมีการขายเกิดขึ้นในช่องทางใดช่องทางหนึ่งได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องสลับใช้งานอีกแพลตฟอร์มหนึ่งให้วุ่นวาย

3. Shopify Plus สามารถช่วยจัดการคำสั่งซื้ออัตโนมัติ

Shopify Plus สามารถรวมเข้ากับบริการคลังสินค้าและโลจิสติกส์ภายนอก เช่น Amazon FBA หรือการบริหารจัดการคลังสินค้าและจัดส่งโดย Amazon ซึ่งเป็นบริการที่มาอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ขาย  ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าได้โดยอัตโนมัติ เมื่อมีการสั่งซื้อเกิดขึ้น ระบบจะเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อดำเนินการจัดส่งสินค้าได้ทันที ส่งผลให้ช่วยลดเวลาการจัดส่งและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้

4. Shopify Plus สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับรูปแบบของธุรกิจได้

Shopify Plus ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งตัวเลือกการจัดส่งสินค้าได้หลากหลายตามความต้องการของลูกค้า เช่น การคำนวณค่าจัดส่งอัตโนมัติตามตำแหน่งที่อยู่ของลูกค้า ซึ่งเป็นผลดีโดยเฉพาะธุรกิจ E-Commerce ที่จำหน่ายสินค้าทั่วโลก อีกทั้งสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ในการปรับอัตราค่าจัดส่ง รวมถึงสกุลเงินที่หลากหลายให้เหมาะตามแต่ละภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นและคุ้มค่าในการจัดการโลจิสติกส์ และสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจที่ต้องการขยายตัวสู่สากลได้เป็นอย่างดี

วิธีลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการระบบ E-Commerce

การลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการระบบ E-Commerce ด้วย Shopify Implementation Service เป็นเป้าหมายที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มกำไรและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย Shopify Plus มีแพ็กเกจการใช้งานที่คุ้มค่า พร้อมกับฟีเจอร์และโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ดังนี้ 

 

  • Shopify Plus สามารถรวมศูนย์การจัดการทุกอย่างจากแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสินค้าคงคลัง การชำระเงิน หรือการจัดส่งสินค้า การรวมศูนย์แบบนี้ช่วยลดการต้องใช้หลายระบบ ซึ่งจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการบำรุงรักษาและการซื้อซอฟต์แวร์เพิ่มเติม
  • Shopify Plus มีฟีเจอร์ Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกระบวนการอัตโนมัติ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อ การติดตามสินค้าคงคลัง หรือการส่งอีเมลถึงลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดความต้องการในเรื่องของการใช้แรงงานและลดค่าใช้จ่ายในด้านการจัดการและการประสานงานต่าง ๆ
  • Shopify Plus มีแผนการชำระเงินที่ยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ การเลือกแผนการชำระเงินที่เหมาะสม สามารถช่วยให้ลดต้นทุนจากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต หรือค่าบริการอื่น ๆ
  • Shopify Plus มาพร้อมกับแอปและฟีเจอร์ต่าง ๆ ในตัว เช่น Shopify Flow, Shopify Scripts ที่สามารถปรับแต่งประสบการณ์การซื้อขายได้โดยไม่ต้องซื้อแอปเสริม หรือจ้างนักพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
  • การจัดการสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์เป็นค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ Shopify Plus ช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับระบบคลังสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีการจัดการการคืนสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้
  • การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใน Shopify Plus ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดและช่องทางการขายต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ช่วยให้ทราบถึงช่องทางที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงโดยไม่จำเป็น และสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อลดต้นทุนได้

สามารถใช้ Shopify Plus ด้วยตัวเองได้หรือไม่?

สำหรับเจ้าของธุรกิจคนไหนที่ต้องการสร้างหน้าร้าน E-Commerce ให้กับตนเอง สามารถทดลองใช้งานจาก Shopify ในขั้นตอนเริ่มต้น เพื่อเรียนรู้การใช้งานได้ เพราะเป็นแพลตฟอร์มสำเร็จรูปที่มีทุกอย่างให้พร้อม อีกทั้งยังมีระบบที่รองรับในเรื่องของการทำ SEO ด้วยดังนั้นหากต้องการโปรโมตเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก Google ก็สามารถทำได้ แน่นอนว่าหากใช้ไปสักระยะแล้วต้องการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คุณอาจลองมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่ออัปเกรดเป็น Shopify Plus ที่มีฟีเจอร์การทำงานที่สูงกว่ามาช่วยคุณได้ โดยสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่: (คลิกที่นี่)

Scroll to Top