การมาถึงของ อัปเดต AI Search จาก Google ได้เปลี่ยนแปลงวงการ ค้นหาใน Google ไปอย่างสิ้นเชิง หลายเว็บไซต์ที่เคยครองอันดับต้น ๆ กลับพบว่าตัวเองร่วงหล่นลงมาอย่างน่าใจหาย ทำให้หลายคนสงสัยว่า “ทำไมเว็บไซต์ถึงตกอันดับหลัง Google อัปเดต AI Search?” บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ พร้อมเทคนิค AI SEO ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยังคงแข็งแกร่งแม้ในยุค AI
Table of Contents
AI Search คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนแก้ปัญหา
AI Search คือ ระบบค้นหาที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล ไม่ใช่แค่จับคู่คีย์เวิร์ดกับเนื้อหาแบบเดิม ๆ แต่สามารถเข้าใจความหมาย บริบท และความสัมพันธ์ของข้อมูลได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ผลการ ค้นหาใน Google แม่นยำและตรงประเด็นมากขึ้น หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับพื้นฐาน SEO สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือ SEO ฉบับเข้าใจง่าย
Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างในปี 2024-2025 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึง:
- Google AI Overviews: ใช้ AI สรุปข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมกันเป็นคำตอบที่ครอบคลุม ฟีเจอร์ AI Overview Google นี้แสดงผลอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา
- Google AI Mode: อัปเดต AI Search ล่าสุดที่ใช้ Gemini 2.5 Pro เป็นขุมพลัง พร้อมฟีเจอร์ใหม่ 4 อย่าง
- Canvas: ช่วยวางแผนอัจฉริยะในหน้าต่างด้านข้าง
- Search Live: ค้นหาด้วยวิดีโอแบบเรียลไทม์
- การอัปโหลดไฟล์: รองรับการอัปโหลดรูปภาพและ PDF เพื่อวิเคราะห์
การทำงานของ AI Search แตกต่างจาก Search Engine แบบเดิมตรงที่มีการใช้เทคโนโลยีหลากหลายแขนงร่วมกัน เช่น Natural Language Processing, Machine Learning, Deep Learning และ Semantic Search เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างลึกซึ้ง และนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมที่สุด
ทำไมบางเว็บถึงร่วงอันดับหลัง Google อัปเดต AI Search?
1. เนื้อหาไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับ AI
เว็บไซต์ที่เนื้อหาไม่ได้ถูกโครงสร้างให้ AI อ่านเข้าใจง่าย มักจะถูกมองข้าม เพราะ AI Search มองหาข้อมูลที่:
- มีโครงสร้างชัดเจน ใช้ semantic HTML
- มีการจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่ดี
- ใช้ schema markup ที่เหมาะสม
- ตอบคำถามผู้ใช้ได้ตรงประเด็น
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ SEO อย่าง Ahrefs จะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น
2. ความเร็วและประสิทธิภาพเว็บไซต์ไม่เพียงพอ
AI Search จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วเป็นพิเศษ เพราะต้องประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์:
- AI ใช้เวลาเพียง 1-5 วินาทีในการดึงข้อมูลจากเว็บ
- เว็บที่ใช้ JavaScript หนักเกินไปอาจทำให้ AI ดึงข้อมูลได้ช้า
- เว็บที่ไม่ได้ออกแบบให้แสดงผลบนมือถืออย่างเหมาะสม จะเสียเปรียบ
3. ไม่ได้ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม
Google มีการ อัปเดต AI Search อยู่ตลอดเวลา การไม่ติดตามและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจทำให้เว็บไซต์ละเมิดข้อกำหนดโดยไม่รู้ตัว เช่น:
- เนื้อหาที่ไม่ตรงตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
- การใช้เทคนิค AI SEO ที่ล้าสมัยหรือผิดกฎ
- การไม่อัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัย
4. การปรากฏของ AI Overviews ในผลการค้นหา
AI Overview Google มักแสดงอยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา ทำให้ผลลัพธ์อินทรีย์ถูกผลักให้อยู่ต่ำลงไป:
- ผู้ใช้อาจได้คำตอบจาก AI Overview Google โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์
- เว็บไซต์ที่ไม่ได้ถูกนำข้อมูลไปแสดงใน AI Overview จะสูญเสีย traffic
- ตำแหน่งในหน้า SERP เมื่อ ค้นหาใน Google เปลี่ยนไป ผู้ใช้ต้องเลื่อนหน้าจอลงมาก่อนจึงจะเห็นผลลัพธ์แบบอินทรีย์
การปรับตัวตาม Persona ของผู้ใช้งานในยุค AI Search
1. นักค้นหาแบบสนทนา (Conversational Searchers)
ลักษณะเฉพาะ:
- ค้นหาด้วยประโยคคำถามยาว ๆ หรือประโยคสนทนาธรรมชาติ
- มักใช้การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)
- ชอบถามคำถามต่อเนื่องในหัวข้อเดียวกัน
วิธีการปรับตัว:
- สร้างเนื้อหาในรูปแบบคำถาม-คำตอบ
- ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติในการเขียนเนื้อหา
- รวม Long-tail Keywords ที่เป็นประโยคคำถามเข้าไปใน Heading
- ใช้ FAQ Schema เพื่อให้ AI Overview Google ดึงข้อมูลไปแสดงได้ง่าย
ตัวอย่างคำค้นหา: “วิธีแก้ปัญหาเว็บไซต์อันดับตกหลัง Google อัปเดต AI แบบง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน”
2. นักค้นหาแบบมีเป้าหมาย (Goal-Oriented Searchers)
ลักษณะเฉพาะ:
- มีเป้าหมายชัดเจนในการค้นหา
- ต้องการข้อมูลที่ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม
- มักใช้คำถามเฉพาะเจาะจง หรือคีย์เวิร์ดสั้น ๆ
วิธีการปรับตัว:
- สร้างเนื้อหาที่ตรงประเด็น เข้าใจง่าย
- ใช้ Bullet Points และ Heading ที่ชัดเจน
- เน้นการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแต่กระชับ
- ใช้ Schema Markup ที่เฉพาะเจาะจงกับประเภทเนื้อหา
ตัวอย่างคำค้นหา: “วิธีแก้ SEO อันดับตก” หรือ “Schema Markup สำหรับ AI Search”
3. นักค้นหาเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Searchers)
ลักษณะเฉพาะ:
- ต้องการเปรียบเทียบตัวเลือกต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจ
- มักใช้คำค้นหาที่มีคำว่า “vs”, “เทียบ”, “ต่างกันอย่างไร”
- ชอบดูตารางเปรียบเทียบและรีวิว
วิธีการปรับตัว:
- สร้างตารางเปรียบเทียบที่ชัดเจน
- ใช้ Pros และ Cons Lists
- มีการวิเคราะห์แบบเปรียบเทียบที่เป็นกลาง
- ใช้ Table Schema Markup เพื่อให้ AI เข้าใจข้อมูลเปรียบเทียบได้ดีขึ้น
ตัวอย่างคำค้นหา: “Google AI Search vs Traditional SEO” หรือ “AI Overviews แตกต่างจาก Featured Snippets อย่างไร”
4. นักค้นหาเชิงลึก (Research-Oriented Searchers)
ลักษณะเฉพาะ:
- ต้องการข้อมูลเชิงลึกและครอบคลุม
- ใช้เวลาอ่านเนื้อหานานกว่าคนอื่น
- มักค้นหาหลายคีย์เวิร์ดในหัวข้อเดียวกัน
วิธีการปรับตัว:
- สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมและมีความลึก
- มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- ใช้ข้อมูลสถิติและกรณีศึกษาประกอบ
- สร้างเนื้อหาแบบ “Ultimate Guide” หรือ “Complete Guide”
ตัวอย่างคำค้นหา: “การวิเคราะห์ผลกระทบของ Google AI Search ต่ออุตสาหกรรม SEO ปี 2025”
5. นักค้นหาแบบเร่งด่วน (Urgent Searchers)
ลักษณะเฉพาะ:
- ต้องการคำตอบทันที
- มักใช้คำที่แสดงความเร่งด่วน เช่น “ด่วน”, “วิธีแก้ไขทันที”
- มีเวลาอ่านน้อย ต้องการข้อมูลที่นำไปใช้ได้เลย
วิธีการปรับตัว:
- ใช้หัวข้อและใจความสำคัญที่ชัดเจน
- มี Quick Answer Box ด้านบนบทความ
- มีขั้นตอนแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ทำตามได้ง่าย
- เพิ่ม “Jump to” links เพื่อให้ผู้อ่านข้ามไปยังส่วนที่ต้องการได้เร็ว
ตัวอย่างคำค้นหา: “วิธีแก้ SEO อันดับตกด่วนหลัง Google อัปเดต” หรือ “แก้ไขเว็บไซต์ให้รองรับ AI Search ภายใน 24 ชั่วโมง”
การปรับเนื้อหาให้เหมาะกับ Persona ต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI Search ให้ความสำคัญอย่างมาก ทำให้มีโอกาสที่เนื้อหาของคุณจะถูกเลือกไปแสดงใน AI Overview มากขึ้น
วิธีตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเว็บไซต์อันดับตก
1. ตรวจสอบอันดับของเว็บไซต์ปัจจุบัน
ก่อนอื่น ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอันดับของเว็บไซต์ตกลงจริง ๆ หรือไม่:
- เปรียบเทียบข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์รายสัปดาห์ก่อนและหลังอันดับตก
- ใช้เครื่องมือติดตามอันดับ (Rank Tracker Tools) ช่วยวิเคราะห์
- ตรวจสอบว่าการลดลงของอันดับเกิดจากเว็บไซต์คุณจริง ๆ หรือเพราะคู่แข่งทำ AI SEO ได้ดีกว่า
2. วิเคราะห์หาสาเหตุที่อันดับของเว็บไซต์ตก
เมื่อพบว่าอันดับตกจริง ให้วิเคราะห์หาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร:
มีการเปลี่ยนแปลงภายในเว็บไซต์หรือไม่?
- การเปลี่ยน URL
- การปรับ UX/UI เว็บไซต์
- มีลิงก์เสีย (ลิงก์ถูกลบ, Redirect ผิดพลาด)
- มีบัค (Bug) ในระบบ
Search Engine มีการอัปเดตระบบหรือไม่?
- ตรวจสอบข่าวการ อัปเดต AI Search ของ Google
- สังเกตอันดับเว็บไซต์ของคู่แข่งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเช่นกันหรือไม่
เว็บไซต์ติด Manual Actions หรือไม่?
- ตรวจสอบใน Google Search Console ที่แท็บ “Securities and Manual Actions”
- ดูว่ามีลิงก์สแปมหรือเนื้อหาที่ละเมิดข้อกำหนดหรือไม่
3. ดำเนินการแก้ไขปัญหาเว็บไซต์อันดับตก
หลังจากพบสาเหตุแล้ว ให้ดำเนินการแก้ไขทันที:
- หากเป็นปัญหาจากเว็บไซต์ เช่น ลิงก์เสีย, บัคในระบบ, หรือติด Manual Actions ให้แก้ไขโดยเร็ว
- หากเป็นการ อัปเดต AI Search ของ Google อาจต้องรอติดตามผลสักระยะ (ประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป)
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้รองรับ AI Search มากขึ้น (จะกล่าวในหัวข้อถัดไป)
หากคุณต้องการเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ปัญหา SEO อย่างครบถ้วน อาจลองใช้ Yoast SEO ที่มีฟีเจอร์ตรวจสอบปัญหาเว็บไซต์โดยเฉพาะ
4. ติดตามผลการแก้ไขปัญหาเว็บไซต์
หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว ควรติดตามผลอย่างต่อเนื่อง:
- ติดตามอันดับเว็บไซต์หลังการแก้ไข
- สังเกตการเปลี่ยนแปลงของคู่แข่ง
- ติดตามข่าวสารการ อัปเดต AI Search ของ Google
- มองหาวิธีใหม่ ๆ ในการเพิ่มอันดับเว็บไซต์
วิธีปรับเว็บไซต์ให้รองรับ AI Search
1. เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ – ตอบสนองต่ำกว่า 1 วินาที
AI Search และเครื่องมือค้นหาให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ลองทำดังนี้:
- ใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อลดเวลาโหลด
- เปิดใช้งาน Browser Caching ลดการโหลดซ้ำของไฟล์
- ใช้ Lazy Loading โหลดเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้ต้องการดู
- บีบอัดไฟล์ CSS, JavaScript, และรูปภาพ ด้วย Gzip หรือ WebP
- ใช้ Hosting คุณภาพสูงที่มีความเร็วเซิร์ฟเวอร์ดี
2. ใช้ Metadata และ Schema Markup – ช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างเนื้อหา
Schema Markup เป็นโค้ดพิเศษที่ช่วยให้ AI Search เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น:
- Article Schema – กำหนดโครงสร้างบทความ
- FAQ Schema – แสดงคำถาม-คำตอบให้ AI Overview Google ดึงไปใช้ได้ง่าย
- Product Schema – ให้ AI เข้าใจข้อมูลสินค้า เช่น ราคา รีวิว
- Event Schema – ใช้กับกิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่ต้องอัปเดตบ่อย
นอกจากนี้ ควรใช้ Metadata เช่น Title, Meta Description, และ Open Graph Tags เพื่อให้ AI Overview แสดงข้อมูลเว็บไซต์ได้ถูกต้อง
3. ปรับโครงสร้างเนื้อหาให้ AI อ่านได้ง่าย
โครงสร้างข้อมูลที่สะอาดและชัดเจนจะช่วยให้ AI Search เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น:
- ใช้ HTML และ Markdown แทน JavaScript ในการแสดงผลเนื้อหา
- ใช้แท็ก semantic เช่น <article>, <section>, <nav> ให้ AI เข้าใจลำดับเนื้อหา
- แสดงเนื้อหาแบบเต็มหน้า ไม่ซ่อนเนื้อหาไว้หลังปุ่ม “อ่านเพิ่มเติม”
- ใช้ RSS Feed หรือ API เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลไปใช้ได้โดยตรง
4. เขียนเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ผู้ใช้
AI Search จะเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การ ค้นหาใน Google ของผู้ใช้:
- สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมประเด็นสำคัญ
- ใช้ประโยคคำถามในการเขียน Heading Tag เช่น “AI Overview Google คืออะไร?”
- ออกแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย ใช้หัวข้อย่อย (Sub headings) และ Bullet Points
- จำกัดความยาวในแต่ละย่อหน้าให้กระชับ
- อัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ พร้อมระบุวันที่อัปเดตล่าสุดอย่างชัดเจน
หากคุณต้องการเพิ่มยอดขายด้วย AI SEO สามารถดูแนวทางเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือเพิ่มยอดขายด้วย AI SEO
5. จัดการกับ AI Crawlers อย่างเหมาะสม
AI Crawlers เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ AI Search เข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์:
- อย่าบล็อก AI Crawlers ใน Cloudflare หรือ AWS WAF
- ตั้งค่า robots.txt ให้เหมาะสม โดยอนุญาตให้ AI Crawlers เข้าถึงเว็บไซต์ได้
- แยกความแตกต่างระหว่าง AI ที่ใช้ค้นหา (เช่น PerplexityBot, AndiBot) และ AI ที่เก็บข้อมูล (เช่น GPTBot, Google-Extended)
- สร้างไฟล์ llms.txt เพื่อระบุว่า AI สามารถนำข้อมูลของคุณไปใช้ได้อย่างไร
6. ใช้ Sitemap และ Request Indexing
การทำให้ Google รู้จักและเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณจะช่วยให้ AI Search นำข้อมูลไปใช้ได้ดีขึ้น:
- สร้างและอัปเดต Sitemap.xml อย่างสม่ำเสมอ
- ส่ง Sitemap ไปยัง Google Search Console และ Bing Webmaster Tools
- ใช้ Request Indexing ใน Google Search Console เพื่อให้ Google ทราบถึงการอัปเดตเนื้อหาใหม่
- แบ่ง Sitemap ตามประเภทเนื้อหา เช่น บทความ, สินค้า, วิดีโอ, หรือรูปภาพ
บริการ AI-Ready SEO จาก CIPHER
ในยุคที่ Google อัปเดต AI Search กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการ ค้นหาใน Google การปรับตัวอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ บริษัท CIPHER พร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยังคงแข็งแกร่งแม้ในยุค AI ด้วยบริการต่อไปนี้:
1. AI Search Audit ตรวจเช็กความพร้อมรับมือ AI
2. AI Schema Implementation ทำให้ AI เข้าใจเว็บคุณ
3. AI-Optimized Content สร้างเนื้อหาที่ AI รัก
4. AI Search Monitoring ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
5. Multimodal SEO Strategy พร้อมรับทุกรูปแบบการค้นหา
บริการวางแผนกลยุทธ์ AI SEO ที่ครอบคลุมทั้งการค้นหาด้วยข้อความ ภาพ และเสียง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมรับมือกับทุกรูปแบบการ ค้นหาใน Google ในอนาคต
หากสนใจบริการด้าน SEO จาก CIPHER สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาได้ทันที