Table of Contents
พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจเองก็ต้องมีการปรับตัวให้เหมาะกับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจ E-Commerce หลาย ๆ บริษัทจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายบนโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น ซึ่ง Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เหล่าธุรกิจ E-Commerce ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ธุรกิจย่อมมีการขยายตัว ทำให้ Shopify Plus ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ขนาดใหญ่ เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านขายออนไลน์ได้อย่างเต็มที่
สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-Commerce ที่อยากทราบว่า ทำไม Shopify Plus คืออนาคตของธุรกิจ E-Commerce ขนาดใหญ่ แล้วมีความสำคัญอย่างไรสำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโต เราได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนไว้ในบทความนี้
ความแตกต่างระหว่าง Shopify และ Shopify Plus
Shopify คือ แพลตฟอร์มสำหรับใช้สร้างร้านค้าออนไลน์ หรือ E-Commerce แบบสำเร็จรูป โดยจะมีเทมเพลตให้เลือกใช้มากมาย ทำให้สามารถจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ทำให้นำไปต่อยอดและปรับให้เหมาะกับรูปแบบธุรกิจได้ มีเครื่องมือที่ครบครัน รวมถึงยังมีการจัดการสินค้าคงคลัง การชำระเงิน การจัดส่งสินค้า และการวิเคราะห์ข้อมูลการขาย เหมาะสำหรับมือใหม่หรือคนที่ไม่คุ้นเคยกับการเขียนโปรแกรม
Shopify Plus เป็น Shopify เวอร์ชันที่แยกออกมา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ หรือแบรนด์สินค้าที่มีการผลิตสินค้าในจำนวนมากที่ต้องการระบบการจัดการที่ดียิ่งขึ้น โดยความแตกต่างระหว่าง Shopify และ Shopify Plus มีหลายด้านดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายของ Shopify และ Shopify Plus
โดย Shopify มีแผนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ Basic Shopify, Shopify และ Advanced Shopify โดยมีราคาที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ส่วน Shopify Plus ราคาที่สูงกว่า และเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มียอดขายสูงหรือสินค้าจำนวนมาก ดังนั้นการเลือก Shopify Implementation Service ที่มีแพ็กเกจให้เลือกตามรูปแบบของธุรกิจ ก็จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
2. ความสามารถในการปรับแต่งของ Shopify และ Shopify Plus
Shopify มีความสามารถในการปรับแต่งเว็บไซต์และร้านค้าได้ผ่านธีมสำเร็จรูปและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะในส่วนของขั้นตอนการชำระเงิน
แต่ในส่วนของ Shopify Plus ผู้ใช้งานสามารถเปิดให้ปรับแต่งได้มากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ตามความต้องการของธุรกิจ รวมถึงการปรับแต่งฟังก์ชันการทำงานได้มากกว่า
3. เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูล
Shopify มีเครื่องมือวิเคราะห์และรายงานพื้นฐานที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
สำหรับ Shopify Plus จะมีเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกและการรายงานที่ซับซ้อนมากกว่า เช่น การวิเคราะห์การขาย การติดตามพฤติกรรมลูกค้า และการเชื่อมต่อกับระบบ ERP และ CRM
4. ฟีเจอร์การทำงานอัตโนมัติ
Shopify มีฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการจัดการอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลติดตามการสั่งซื้อ แต่สำหรับ Shopify Plus มีฟีเจอร์ขั้นสูงมากกว่า เช่น Shopify Flow ที่สามารถสร้างกระบวนการทำงานอัตโนมัติทั้งในการจัดการคำสั่งซื้อ การจัดการคลังสินค้า และการตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้ช่วยลดปัญหาการทำงานที่ซ้ำซ้อน นอกจากนี้ยงสามารถผสานการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ หรือระบบ CRM อย่าง HubSpot เพื่อช่วยในการทำ Email Marketing ได้
5. การรองรับสกุลเงิน
Shopify มีข้อจำกัดในการจัดการสกุลเงินและภาษาต่าง ๆ ให้เหมาะกับแต่ละภูมิภาค แต่สำหรับธุรกิจที่มีการขยายตัวในต่างประเทศ Shopify Plus มีเครื่องมือที่ช่วยจัดการร้านค้าหลายแห่ง (multi-store) ในหลากหลายภูมิภาค และการจัดการหลายสกุลเงินพร้อมกัน เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการพัฒนาไปสู่สากลในอนาคต
ความสำคัญของ Shopify Plus แพลตฟอร์มที่รองรับการเติบโตของธุรกิจ
Shopify Plus ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาและออกแบบมาเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะ สำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโต Shopify Plus มีความสำคัญอย่างมาก เพราะในปัจจุบันธุรกิจ E-Commerce มีการแข่งขันสูง ทำให้ความสามารถของ Shopify Plus สามารถช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างราบรื่น พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่สามารถรองรับโซลูชันได้ทุกแง่มุมของธุรกิจตั้งแต่การเพิ่มยอดขายไปจนถึงการจัดการบริหารการทำงานของระบบที่มีความซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าใหม่ หรือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในต่างประเทศ
แพลตฟอร์ม Shopify Plus ช่วยให้ธุรกิจที่กำลังเติบโตสามารถจัดการกับความซับซ้อนของการขายในปริมาณมาก การขยายตลาดระหว่างประเทศ และการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ด้วยเครื่องมืออัตโนมัติและฟีเจอร์ของ Shopify Plus ที่มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งให้เหมาะกับรูปแบบธุรกิจได้ จึงเป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการการเติบโตที่รวดเร็วและยั่งยืนในตลาด E-Commerce ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตและขยายตลาดได้อย่างไม่สะดุด
ทำไมธุรกิจที่มียอดขายมากกว่า 30 ล้านบาทควรใช้ Shopify Plus
ในโลกของธุรกิจ E-Commerce ที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มียอดขายมากกว่า 30 ล้านบาท การบริหารจัดการทำงานต่าง ๆ ย่อมมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นทั้งในการจัดการเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้น การปรับแต่งหน้าร้าน การจัดการคำสั่งซื้อต่าง ๆ เพื่อไม่เกิดปัญหาเว็บไซต์ล่ม หรือข้อผิดพลาด บริษัทที่มีขนาดใหญ่หรือมีสินค้าจำนวนมากจึงควรพิจารณาใช้ Shopify Plus เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้มีฟีเจอร์ที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินงานที่ซับซ้อนและมียอดขายในปริมาณมาก เพื่อลดข้อผิดพลาดในการทำงานและลดโอกาสที่จะสูญเสียลูกค้า
นอกจากนี้ธุรกิจที่มียอดขายสูงมักมีทั้งลูกค้าทั่วไป (B2C) และลูกค้าองค์กร (B2B) ซึ่ง Shopify Plus สามารถรองรับการขายทั้งสองรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างแคมเปญและข้อเสนอที่แตกต่างกันสำหรับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรได้ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อจำนวนมาก การตั้งราคาพิเศษ และการจัดการกระบวนการชำระเงินที่ซับซ้อน ทำให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าได้หลากหลายขึ้น
Shopify Plus แพลตฟอร์มสำหรับ E-Commerce ที่ต้องการความเติบโตในอนาคต
Shopify Plus เปิดให้บริการสำหรับธุรกิจ E-Commerce ที่มีสินค้าจำนวนมาก เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ที่ต้องการเครื่องมือในการบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการการบริหารจัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต แน่นอนว่า Shopify Plus เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับความต้องการของคุณอย่างแน่นอน
หากคุณต้องการเรียนรู้และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shopify Plus หรือกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทั้งในด้านการออกแบบเว็บไซต์สำหรับ E-Commerce สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำได้ที่: (คลิกที่นี่)