Magento vs. Shopify: เลือกอะไรดี?

Table of Contents

Magento vs. Shopify Community Edition: เลือกอะไรถึงดีที่สุด?

Magento vs. Shopify

การเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างการจัดการและการบำรุงรักษาร้านค้าออนไลน์นั้นถือเป็นกระบวนการที่จำเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่ามันจะส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจของคุณได้เลย และนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะต้องคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่จำกัด

หากคุณคือผู้ที่กำลังวางแผนที่จะสร้างร้านค้าออนไลน์ หรืออยากจะโยกย้ายร้านค้าปัจจุบันของคุณไปยังอีกแพลตฟอร์มหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ และคุณอาจกำลังพิจารณาตัวเลือกที่มีของคุณอยู่ Shopify และ Magento Community Edition (หรือที่เรียกว่า Magento) เป็นแพลตฟอร์มการสร้างและการจัดการอีคอมเมิร์ซที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามทั้งสองแบบมีความแตกต่างขั้นพื้นฐานอยู่มาก ระหว่างสองเจ้านี้ ซึ่งมีหลายสิ่งที่คุณควรตระหนักถึงก่อนที่จะทำการประเมินและเปรียบเทียบการทำงานของทั้งสองแบบ:

  • Shopify แพลตฟอร์ม E-Commerce ที่สามารถทดลองใช้งานได้ฟรี หากต้องการใช้งานต่อหรือใช้งานเต็มรูปแบบ สามารถเชื่อต่อกับผู้ให้บริการ Shopify Implementation Service ได้ทันที แต่ Magento Community นั้นฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และเป็น open-source software
  • Shopify ควบคุมการให้บริการ Hosting โดยตัวบริษัทเอง (ร้านค้าของคุณจะให้บริการผ่าน Shopify) แต่ Magento จะให้คุณจัดหา Hosting ของคุณเอง, ติดตั้ง, ตั้งค่า และ กำหนดค่าเริ่มต้นทุกอย่างก่อนที่คุณจะเริ่มสร้างร้านค้าออนไลน์จริงของคุณ และบางส่วนก็ต้องการนักพัฒนาเว็บไซต์ ความเชี่ยวชาญขั้นกลางถึงสูง รวมทั้งทักษะในการเขียนโปรแกรม

จากความแตกต่างที่ควรคำนึงถึงของทั้งสองค่ายนี้  ต่อไปนี้จะเป็นการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกในแต่ละด้านของทั้งสอง :

คุณลักษณะ

ฟังก์ชันการทำงานของร้านค้าออนไลน์แบบพื้นฐาน – ทั้ง Shopify และ Magento มีฟังก์ชันการจัดเก็บสินค้าพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพพอสมควร ทั้งในการใช้และบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ Shopify อาจกล่าวได้ว่ามีการตั้งค่าและใช้งานที่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับ Magento

การจัดการพื้นที่โฆษณา

แพ็กเกจเริ่มต้นของ Shopify จะจำกัดให้คุณสามารถเก็บรายการได้สูงสุดคือ 25 รายการ ในขณะที่ Magento มีรายการที่ไม่จำกัดจำนวน แต่แพ็กเกจอื่น ๆ ของ Shopify ที่เหลือ จะอนุญาตให้มีการเพิ่มและขายสินค้าผ่านร้านของคุณได้ไม่ จำกัดจำนวน  อย่างไรก็ตามในตอนนี้ Shopify ก็มี Oberlo ที่เป็นแอปที่ติดตัวมาสำหรับผู้ใช้ใหม่ด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการขายประเภท Dropship

สิ่งที่ควรสังเกตคือ แม้ว่า Magento จะอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์มีจำนวนได้ไม่จำกัด แต่ประสิทธิภาพของโฮสต์ (เซิร์ฟเวอร์) และความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์อาจกลายเป็นปัญหาร้ายแรงหากได้ หากคุณทำการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มากเกินไปในร้านแบบ Magento ของคุณ – ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องกังวลกับ Shopify เนื่องจากมันเป็นโฮสต์โซลูชันที่มีการจัดการและให้บริการได้อย่างเต็มที่

การคำนวณค่าจัดส่ง

แพลตฟอร์มทั้งสองจะมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการคำนวณค่าจัดส่งซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานและสำคัญที่สุดในการขายสินค้าที่จับต้องได้ต่าง ๆ ผ่านหน้าร้าน E-Commerce ข้อกำหนดสำหรับคูปองและรหัสส่วนลด

Shopify มีข้อด้อยในจุดนี้ เพราะมันไม่มีฟีเจอร์นี้ในแพ็กเกจเริ่มต้นแต่มีอยู่ในแพ็กเกจอื่นที่เหลือ ซึ่งต่างจากMagento CE ที่อนุญาตให้สามารถสร้างโค้ดส่วนลดและฟังก์ชันการคำนวณได้

ตัวเลือกช่องทางการชำระเงิน 

Shopify มีจุดเด่นอยู่ที่การสนับสนุน Payment Gateway กว่า 70 แห่งในขณะที่ Magento Community นั้นรองรับ Payment Gateway ที่น้อยกว่าแต่สามารถพัฒนาเชื่อมต่อเองได้ผ่านผู้ให้บริการ Magento Service

ธีมและเทมเพลต 

ทั้ง Shopify และ Magento CE มีชุดธีมและเทมเพลตที่หลากหลายเพื่อให้รูปลักษณ์ของเว็บไซต์และหน้าตาร้านค้าออนไลน์ดูเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และรสนิยมของคุณ แม้ว่าจำนวนธีมฟรีใน Shopify จะมีน้อยกว่าของ Magento CE อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สังเกตได้ว่าธีมฟรีใน Shopify มีการออกแบบที่ร่วมสมัยมากขึ้น

โดยทั้งสองค่ายมีธีมแบบพรีเมี่ยมแบบเสียเงิน ซึ่งจุดนี้ ทัง Magento และ Shopify สามารถหา Theme Premium โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 2,400 บาท ขึ้นไป

และปัจจุบันการออกแบบเว็บไซต์เพื่อการตอบสนองการใช้งานก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ (การออกแบบที่ทำงานได้ดีในอุปกรณ์ที่ใช้โดยทั่วไปโดยผู้ใช้ออนไลน์) ซึ่งทั้ง Shopify และ Magento ก็มีจำนวนเทมเพลตที่ตอบสนองได้ดีมาก ทั้งแบบฟรีและแบบชำระเงิน

App และ Add-on 

บน Shopify นั้นมีมากกว่า 100 แอปพลิเคชันและ Add-on ที่สามารถใช้งานปรับปรุงและขยายขีดความสามารถของร้านค้าออนไลน์ของคุณได้หลากหลายวิธี แต่สำหรับ Magento ถือเป็นอีกครั้งที่ได้เปรียบกว่าในจุดนี้ เพราะมันมีแอพพลิเคชันและ Add-on มากกว่า 5000 รายการ ที่ไม่มีข้อจำกัดกาใช้ บวกกับการที่เป็น Open source และแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนนักพัฒนา อย่างไรก็ตามทั้งสองแพลตฟอร์มก็มีทั้งแอป / add-on แบบฟรีและแบบเสียเงิน

ความสามารถการใช้งานหลายภาษา 

Shopify ไม่สามารถใช้งานได้โดยตรงจากการควบคุมแบบหลายภาษา แต่สำหรับการสร้างร้านค้าแบบหลายภาษาอย่างเต็มรูปแบบ,แอพฯ ของบุคคลที่สาม / แบบเสียค่าใช้จ่ายจะพร้อมใช้งานบน Shopify อีกหนึ่งตัวเลือกที่ทำได้บน Shopify คือการกำหนดธีม / เทมเพลตของคุณด้วยอินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายและอยู่ในขั้นสูง ซึ่งที่สุดแล้ว Magento ก็ยังเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบตรงนี้ เพราะมีการสนับสนุนหลายภาษาอยู่แล้วในตัวแพลตฟอร์ม

ความสามารถในการสร้าง SEO 

แพลตฟอร์มทั้งสองมีความสามารถในการสร้าง SEO ที่กว้างขวาง เพื่อช่วยให้คุณสามารถเพิ่มการเข้าชมแบบออแกนิคในร้านค้าของคุณผ่านเครื่องมือค้นหาได้ โดยเราทำการให้คะแนนในด้านคุณลักษณะและประโยชน์ด้าน SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ความสามารถในการปรับแต่ง 

แพลตฟอร์มทั้งสองค่ายนับว่ามีความสามารถในการปรับแต่งที่มีประสิทธิภาพเลยทีเดียว โดยการใช้อินเทอร์เฟซขั้นสูงที่ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขโค้ด HTML / CSS ต้นฉบับบได้โดยตรงเพื่อให้คุณสามารถควบคุมการออกแบบและรูปลักษณ์ของร้านค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวมาข้างต้น Shopify มีคะแนนที่ดีกว่าในจุดนี้ โดยการให้วิธีดำเนินการง่ายๆที่ใช้เมนูควบคุมเพื่อเปลี่ยนคุณสมบัติพื้นฐานของร้านค้าของคุณได้ เช่น แบบอักษรแบบสี เป็นต้น ได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ความสามารถในการปรับแต่งด้วย Magento จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะโค้ดทั้งหมดจะเป็นแบบ Open-source ซึ่งคุณสามารถแก้ไขได้ทุกแบบที่คุณต้องการ ถึงอย่างนั้นอิสระที่ไร้ข้อจำกัดในการปรับแต่งนี้ ก็จะสามารถใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ที่ให้บริการ Magento Service ที่มีประสบการณ์ด้านการเขียนโปรแกรม HTML และ CSS เท่านั้น

นอกจากนี้ Shopify ยังมีโปรแกรมแก้ไขธีมที่ช่วยให้คุณสามารถเล่นกับรูปลักษณ์และรูปแบบของธีมของคุณได้ และยังมีความสามารถในการซ่อนส่วนต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงได้ในอนาคตโดยไม่ต้องมีธีมที่ซ้ำกันหรือการทำงานบนตัวเซิร์ฟเวอร์

ฟังก์ชันการเขียนบล็อก 

ฟังก์ชันการเขียนบล็อกที่ง่ายดายมีให้เลือกใช้เป็นคุณลักษณะแบบบูรณาการบน Shopify ซึ่งตอนนี้ก็สามารถทำได้ด้วย Magento เช่นกัน โดยการใช้ plug-in (ฟรี)

ง่ายต่อการใช้งาน

อย่างที่บอกไปแล้วในรีวิวก่อนหน้านี้ว่า ทั้ง Shopify และ Magento CE นั้นเป็นแพลตฟอร์มการสร้าง E-Commerce ที่มีประสิทธิภาพพอๆกัน ทั้งสองค่ายมาพร้อมกับอินเตอร์เฟซของผู้ใช้ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีเยี่ยมและช่วยให้ผู้ใช้ดำเนินการกับร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย

แต่มีข้อควรสังเกตว่า Shopify มีโหมดผู้ช่วยที่ช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็สามารถตั้งร้านค้าได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ Magento CE ยังขาดคุณสมบัตินี้

นอกจากนี้เพราะว่า Magento ไม่ได้เป็นบริการให้เช่าพื้นที่แต่มันต้องทำด้วยตัวคุณเอง และการสร้างร้านค้าก็เป็นกระบวนการที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่สามารถทำเองได้โดยง่ายหรือสะดวกในการทำด้วยตัวเองทั้งหมด

ค่าใช้จ่าย

ค่าธรรมเนียมการติดตั้ง – Shopify ไม่มีการเรียกเก็บค่าติดตั้งใด ๆ โดยสามารถทดลองใช้ฟรี 14 วันซึ่งช่วยให้คุณสามารถทดสอบและประเมินฟังก์ชันและคุณลักษณะที่นำเสนอโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีได้ สำหรับMagentoนั้น ไม่มีปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมเช่นกัน เนื่องจากเป็นบริการที่ฟรี (คุณจะต้องจัดหาและจ่ายเงินสำหรับโฮสติ้งของคุณเอง ตามที่จะกล่าวไว้ด้านล่าง)

ค่าบริการรายเดือน 

Shopify เสนอแพคเกจที่แตกต่างกันสี่แบบโดยมีค่าบริการรายเดือนตั้งแต่ 420 บาท ถึง 5370 บาท ดังนี้:

  • Lite Plan : 270 บาท
  • Basic Shopify Plan : 870 บาท
  • Shopify Plan : 2,370 บาท
  • Advanced Shopify Plan : 8,970 บาท

เริ่มต้นทดลองใช้งาน Shopify โดย คลิกที่นี่.

ส่วน Magento คุณจะต้องเตรียม Hosting ของคุณเอง  โดยบริการเหล่านี้มีให้เลือกหลายเจ้า โดยเป็นบริการแบบรายเดือน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 150 บาท ถึง 300 บาท

BlueHost เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ Ecommerce Hosting ที่เชื่อถือได้ เป็นที่นิยมพอสมควร และมีประสิทธิภาพสูงซึ่งคุณสามารถซื้อพื้นที่สำหรับจัดเก็บ Magento ของคุณได้ในราคาที่ไม่แพงนัก

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเพิ่มสัญญาณ (Bandwidth)

Shopify ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้งาน Bandwidthไม่ว่าในแพคเกจใด แต่สำหรับ Magento CE นั้นค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการโฮสติ้งที่คุณใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลของคุณ

ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 

Shopify ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมใดๆ เพิ่มเติมหากใช้เกตเวย์การชำระเงินของแพลตฟอร์ม หากใช้การชำระเงินโดยเกตเวย์หรือวิธีอื่นใด (เช่น COD) จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมดังนี้:

  • Lite Plan (270 บาท/เดือน.): 2%
  • Basic Shopify Plan (870บาท/เดือน): 2%
  • Shopify Plan (2,370 บาท/เดือน): 1%
  • Advanced Shopify Plan (8,970 บาท/เดือน): 0.5%

สำหรับ Magento Community Edition จะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรม นอกเหนือไปจากค่าธรรมเนียมของผู้ให้บริการเกตเวย์ (ซึ่งแตกต่างจากเกตเวย์หนึ่งไปสู่อีกเกตเวย์หนึ่ง) ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ สามารถเกิดได้กับ Shopify ด้วยเช่นกัน

ราคาของธีม / เทมเพลต – แพลตฟอร์มทั้งสองมีทั้งธีมแบบฟรีและแบบชำระเงินที่มีคุณภาพ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 2,400บาท และ 30บาท ตามลำดับ

บทสรุป

อาจกล่าวโดยรวมได้ว่าทั้ง Shopify และชุมชน Magento นั้นค่อนข้างมีประสิทธิภาพที่สูงมากทั้งคู่  ในส่วนของ Shopify อาจให้ความสะดวกในการใช้งานมากกว่า เนื่องจากเป็นบริการแบบโฮสต์ในเว็บเอง และมีการจัดการแบบครบวงจร เหมาะสำหรับผู้เริ่มใช้งานเบื้องต้น

ส่วน Magento ด้วยความที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงกำหนดให้คุณต้องซื้อพื้นที่ Hosting เองและดำเนินการติดตั้งซอฟต์แวร์ / ระบบและขั้นตอนต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเหมาะเฉพาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น (และไม่ใช่ผู้ใช้ขั้นต้น) ที่จะสามารถทำได้ในแง่ของเรื่องนี้ ซึ่งการปรับเปลี่ยนต่างๆ สามารถทำงานได้โดยผู้พัฒนาระบบ หรือบริษัทที่ให้บริการ Magento Service

Scroll to Top