ผลกระทบของ Google AI Mode ต่อ SEO และวิธีเตรียมความพร้อม

Google AI Mode

ตอนนี้เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของเราอย่างรวดเร็ว และหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองมากที่สุดก็คือการมาถึงของ Google AI Mode ซึ่งกำลังปฏิวัติวิธีที่ผู้คนค้นหาข้อมูลออนไลน์ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Google AI Mode ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเจาะลึกว่ามันส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างไรบ้าง? และที่สำคัญคุณควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของคุณยังเติบโตได้ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

Table of Contents

Google AI Mode คืออะไร?

Google AI Mode

Google AI Mode หรือที่บางคนเรียกว่า Search Generative Experience (SGE) เป็นการนำเอาเทคโนโลยี AI สมัยใหม่มาผสมผสานเข้ากับระบบค้นหาของ Google แทนที่ Google จะแค่แสดงลิงก์เว็บไซต์เรียงลำดับตามความเกี่ยวข้องแบบเดิม ๆ ตอนนี้ Google สามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาจากหลาย ๆ เว็บไซต์ แล้วสรุปข้อมูลให้คุณได้ทันทีบนหน้าผลการค้นหา พร้อมคำตอบที่ตรงประเด็นและข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง

Google ได้เปิดตัว AI Mode อย่างเป็นทางการในงาน Google I/O 2025 และตอนนี้ผู้ใช้ในอเมริกาทุกคนสามารถใช้งานได้แล้วโดยไม่ต้องลงทะเบียนพิเศษอะไรเพิ่มเติม

Google AI Mode มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง?

Google AI Mode มีความสามารถหลายอย่างที่น่าสนใจมาก:

  1. สรุปข้อมูลให้คุณได้ทันที – เมื่อคุณพิมพ์คำถามเข้าไป AI จะอ่านข้อมูลจากหลายเว็บไซต์แล้วสรุปให้คุณเป็นข้อความสั้น ๆ ที่เข้าใจง่าย
  2. ตอบคำถามได้โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ – คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคลิกเข้าไปอ่านหลาย ๆ เว็บอีกต่อไป เพราะ AI จะหาคำตอบมาให้คุณเลย
  3. ค้นหาได้ทั้งข้อความ รูปภาพ และเสียง – ไม่ใช่แค่พิมพ์คำถาม แต่คุณสามารถใช้รูปภาพหรือเสียงในการค้นหาได้ด้วย
  4. พูดคุยแบบต่อเนื่องได้ – คุณสามารถถามคำถามต่อเนื่องได้ เหมือนกับคุยกับเพื่อน เช่น ถามว่า “ร้านอาหารอิตาเลียนที่ดีที่สุดในกรุงเทพมีที่ไหนบ้าง?” แล้วถามต่อว่า “ร้านไหนมีที่จอดรถ?” โดยที่ AI เข้าใจว่าคุณยังถามเกี่ยวกับร้านอาหารอิตาเลียนอยู่

นอกจากนี้ Google AI Mode ยังมีฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ อีก เช่น:

  • Deep Search – ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลเชิงลึกมาก ๆ เช่น “อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการรีโนเวทบ้าน ทั้งค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และสิ่งที่ต้องระวัง”
  • Live – ใช้ค้นหาแบบเรียลไทม์ด้วยวิดีโอหรือเสียง เช่น ถ่ายรูปสกรูแล้วถามว่า “ฉันต้องใช้สกรูแบบไหนในการซ่อมโต๊ะนี้?”
  • Agentic – ช่วยคุณทำงานเฉพาะทาง เช่น “ช่วยหาและซื้อตั๋วคอนเสิร์ต Lorde หน่อย”
    Shopping – ช่วยในการช้อปปิ้ง เช่น “ช่วยหาชุดสวย ๆ สำหรับไปงานแต่งงานหน้าร้อนหน่อย”
  • Personal context – ใช้ข้อมูลส่วนตัวของคุณ (ถ้าคุณอนุญาต) เพื่อให้คำตอบที่เหมาะกับคุณมากขึ้น เช่น “แนะนำร้านอาหารดี ๆ ในออริกอนสำหรับทริปที่ฉันกำลังจะไป” (โดยดูจากข้อมูลการจองตั๋วของคุณใน Gmail)

AI Mode เปลี่ยนวิธีที่เราใช้ Google แบบเดิม ๆ ไปเลย เมื่อก่อนเราค้นหาด้วยคำสั้น ๆ แค่ 2-3 คำ แต่ตอนนี้เราสามารถพิมพ์คำถามยาว ๆ เหมือนคุยกับเพื่อน และ Google ก็เข้าใจว่าเราต้องการอะไร แล้วให้คำตอบที่ตรงใจเราได้เลย

ตัวอย่างการใช้งาน Google AI Mode ในชีวิตจริง

ลองนึกภาพแบบนี้นะ เมื่อก่อนถ้าคุณอยากรู้เรื่อง “เทรนด์การตลาดปี 2025” คุณต้องเข้าไปอ่านหลาย ๆ เว็บไซต์ ต้องคลิกเข้าไปทีละลิงก์ แล้วพยายามจับใจความเอาเอง

แต่ด้วย Google AI Mode ถ้าคุณพิมพ์ว่า “เทรนด์การตลาดปี 2025 มีอะไรบ้าง” AI จะอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือหลาย ๆ แห่ง แล้วสรุปออกมาให้คุณทันทีว่า “เทรนด์การตลาดปี 2025 เน้นไปที่การใช้ AI ในการสร้างคอนเทนต์ส่วนบุคคล, การตลาดผ่าน Metaverse, การใช้วิดีโอสั้นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม และการสร้างแบรนด์ที่ใส่ใจความยั่งยืนมากขึ้น” พร้อมแสดงลิงก์อ้างอิงให้คุณเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณอยากรู้เพิ่ม คุณก็ถามต่อได้เลยว่า “แล้วเทรนด์ไหนเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กมากที่สุด?” Google ก็จะเข้าใจว่าคุณกำลังถามต่อจากคำถามแรก และจะให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงสำหรับธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ

Google AI Mode ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO แบบเดิมยังไงบ้าง?

การมาถึงของ Google AI Mode เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างมาก เพราะเว็บไซต์ต่าง ๆ จะได้รับการเข้าชมน้อยลง เนื่องจากผู้ใช้ได้คำตอบที่ต้องการจาก AI แล้ว ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์อีกต่อไป มาดูกันว่า Google AI Mode ส่งผลกระทบต่อ SEO อย่างไรบ้าง

1. คนคลิกเข้าเว็บไซต์น้อยลงแน่นอน

เมื่อก่อน เวลาเราค้นหาอะไรใน Google เราจะเห็นรายการลิงก์เว็บไซต์ และเราต้องคลิกเข้าไปอ่านทีละเว็บเพื่อหาคำตอบที่ต้องการ แต่ตอนนี้ Google AI Mode สรุปข้อมูลสำคัญให้เราเลย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์อีกต่อไป

ผลคือ เว็บไซต์ต่าง ๆ จะมีคนเข้าชมน้อยลง แม้ว่าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Google ก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่พบว่า บางเว็บไซต์สูญเสียการเข้าชมไปถึง 20-60% เพราะผลกระทบจาก AI Overviews และ AI Mode

2. Keywords น้อยลง บริบทและเจตนาผู้ใช้สำคัญมากขึ้น

เมื่อก่อน การทำ SEO ให้ได้ผลดี เรามักจะยัดคีย์เวิร์ดเข้าไปในเนื้อหาให้มากที่สุด แต่ตอนนี้ AI ของ Google ฉลาดขึ้นมาก มันเข้าใจภาษาธรรมชาติและความตั้งใจของผู้ใช้ได้ดีกว่าเดิมมาก

Google จึงให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง ๆ มากกว่าเนื้อหาที่แค่มีคีย์เวิร์ดเยอะ ๆ ถ้าเนื้อหาของคุณไม่มีคุณภาพ ไม่ตอบคำถามที่ผู้ใช้ต้องการรู้จริง ๆ ก็ยากที่จะติดอันดับดี ๆ ได้

3. AI อาจสรุปเนื้อหาของคุณโดยไม่ให้เครดิตชัดเจน

นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากสำหรับคนทำคอนเทนต์และนักการตลาด เพราะ AI ของ Google อาจเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณไปสรุป แต่ไม่ได้บอกชัดเจนว่าข้อมูลนี้มาจากเว็บไซต์ของคุณ

สิ่งนี้ทำให้คุณสูญเสียโอกาสที่จะมีคนเข้ามาที่เว็บไซต์ และลดโอกาสที่จะสร้างการรับรู้แบรนด์ของคุณด้วย

4. พฤติกรรมการค้นหาของคนเปลี่ยนไปมาก

เมื่อผู้คนคุ้นเคยกับการได้คำตอบโดยตรงจาก AI พวกเขาจะเริ่มถามคำถามแบบยาว ๆ ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนกับการคุยกับเพื่อน แทนที่จะพิมพ์แค่ 2-3 คำแบบเดิม ๆ

เช่น แทนที่จะค้นหาว่า “วิธีทำขนมครก” คนอาจจะพิมพ์ว่า “ขนมครกทำยังไงให้หอมนุ่ม ไม่แฉะ แป้งไม่แข็ง เหมือนที่ขายในตลาด”

นั่นหมายความว่า การทำ SEO ในอนาคตต้องเข้าใจ “ความตั้งใจ” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำถามเหล่านี้ และสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามได้อย่างครอบคลุม รวมถึงต้องคิดถึงคำถามต่อเนื่องที่ผู้ใช้อาจจะถามต่อไปด้วย

เว็บไซต์แบบไหนได้รับผลกระทบจาก Google AI Mode มากที่สุด?

Google AI Mode กำลังเปลี่ยนวิธีที่คนค้นหาข้อมูลออนไลน์ และส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์แต่ละประเภทไม่เท่ากัน บางประเภทกระทบหนักมาก บางประเภทกระทบน้อย มาดูกันว่าเว็บไซต์แบบไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด

เว็บไซต์ที่กระทบหนักมาก

  1. เว็บไซต์บทความและบล็อก – เว็บไซต์พวกนี้เสี่ยงมากที่สุด เพราะ AI สามารถสรุปเนื้อหาและให้คำตอบได้เลย โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านบทความของคุณ ลองนึกภาพว่า คุณเขียนบทความ “10 วิธีล้างแอร์ด้วยตัวเอง” แต่ Google AI Mode สรุปทั้ง 10 วิธีให้ผู้ใช้เลย ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่เว็บของคุณอีกต่อไป
  2. เว็บไซต์ข่าว – พวกนี้ก็กระทบหนักเช่นกัน เพราะ AI สรุปข่าวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านข่าวเต็ม ๆ เช่น ถ้ามีข่าว “นายกรัฐมนตรีประกาศลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า” AI ก็จะสรุปให้ว่า “รัฐบาลประกาศลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าลง 50% เริ่มมีผล 1 มกราคม ปีหน้า เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์พลังงานสะอาด” โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านข่าวเต็ม ๆ
  3. เว็บไซต์การศึกษา – AI สรุปบทเรียนและข้อเท็จจริงได้ดีมาก ทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านเนื้อหาเต็ม ๆ เช่น ถ้าถามว่า “สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อไร และมีสาเหตุจากอะไร” AI ก็จะสรุปให้เลยว่าเกิดขึ้นเมื่อไร มีสาเหตุจากอะไร และมีผลกระทบอย่างไรบ้าง
  4. เว็บไซต์ไดเรกทอรี่ธุรกิจ – AI สามารถรวบรวมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และคะแนนรีวิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูที่เว็บไซต์ไดเรกทอรี่อีกต่อไป ถ้าคุณถามว่า “ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในพัทยา” AI ก็จะแสดงรายชื่อร้าน พร้อมคะแนนรีวิว ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ให้เลย
  5. เว็บไซต์รีวิวสินค้า – AI สรุปข้อดีข้อเสียของสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านรีวิวเต็ม ๆ เช่น ถ้าถามว่า “iPhone 15 ดีไหม ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง” AI ก็จะสรุปให้เลยว่าข้อดีคืออะไร ข้อเสียคืออะไร ควรซื้อหรือไม่

เว็บไซต์ที่กระทบปานกลาง

  1. เว็บไซต์ E-Commerce – แม้ว่า AI จะสามารถแสดงรายละเอียดสินค้าได้ แต่ผู้ใช้ยังคงต้องเข้าไปที่เว็บไซต์เพื่อซื้อสินค้าอยู่ดี เช่น ถ้าถามว่า “กระเป๋า Coach รุ่นไหนกำลังฮิตในปีนี้” AI อาจจะสรุปให้ว่ามีรุ่นไหนบ้าง แต่ถ้าอยากซื้อ ผู้ใช้ก็ยังต้องคลิกเข้าไปที่เว็บ E-Commerce อยู่ดี
  2. เว็บไซต์ผู้ให้บริการ – คำถามพื้นฐานเกี่ยวกับบริการอาจถูก AI ตอบได้ แต่ผู้ใช้มักจะยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมและต้องการติดต่อผู้ให้บริการโดยตรง เช่น ถ้าถามว่า “ค่าจ้างทนายความฟ้องหย่าประมาณเท่าไร” AI อาจให้ตัวเลขคร่าว ๆ ได้ แต่ผู้ใช้ก็ยังต้องการข้อมูลเฉพาะจากทนายความจริง ๆ อยู่ดี
  3. เว็บไซต์ฟอรั่มและชุมชนออนไลน์ – ชุมชนออนไลน์ยังมีความสำคัญในแง่ของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลาย ซึ่ง AI ยังทดแทนไม่ได้ 100% เช่น ถ้าถามว่า “มีใครเคยซื้อบ้านโครงการ A บ้าง รีวิวหน่อย” AI อาจจะสรุปรีวิวได้บ้าง แต่ผู้ใช้ก็ยังอยากเห็นความคิดเห็นจริง ๆ จากคนที่ซื้อบ้านโครงการนั้น

เว็บไซต์ที่กระทบน้อย

  1. เว็บไซต์องค์กรและแบรนด์ – ถ้าคนค้นหาชื่อแบรนด์โดยตรง เช่น “Apple” หรือ “Toyota” พวกเขามักจะต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ทางการของแบรนด์นั้น ๆ อยู่แล้ว แบรนด์ที่แข็งแกร่งจะยังได้รับการเข้าชมโดยตรงอยู่ เพราะคนมักจะต้องการข้อมูลอย่างเป็นทางการจากแบรนด์นั้น ๆ
  2. เว็บไซต์บันเทิง – เนื้อหาประเภทวิดีโอ เกม เพลง หรือความบันเทิงอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ AI สรุปได้ยาก และผู้ใช้ยังต้องเข้าไปชมเนื้อหาโดยตรงอยู่ดี เช่น ถ้าถามว่า “หนังใหม่ของ Marvel มีอะไรบ้าง” AI อาจจะบอกชื่อหนังได้ แต่คนก็ยังต้องไปดูตัวอย่างหนัง หรือไปดูหนังจริง ๆ อยู่ดี

Google AI Mode เปลี่ยน Customer Journey ยังไงบ้าง?

AI Mode ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีการค้นหา แต่ยังเปลี่ยน Customer Journey หรือเส้นทางการซื้อของลูกค้าไปอย่างสิ้นเชิงด้วย มาดูกันว่ามันเปลี่ยนอะไรบ้าง:

1. คนใช้คำค้นหาแบบใหม่เลย

เมื่อก่อนคนมักจะค้นหาด้วยคำสั้น ๆ เช่น “ร้านอาหารอร่อย พัทยา” หรือ “วิธีทำกะเพราหมู” แต่ตอนนี้คนจะค้นหาด้วยประโยคยาว ๆ ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น “แนะนำร้านอาหารไทยอร่อย ๆ ในพัทยา ที่มีวิวทะเลสวย ๆ ราคาไม่แพงมาก” หรือ “วิธีทำกะเพราหมูให้อร่อยเหมือนร้านข้างทาง ไม่มีผงชูรส” นี่หมายความว่า เราต้องเข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของผู้ใช้ให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่โฟกัสที่คีย์เวิร์ดอีกต่อไป

2. เส้นทางการซื้อสั้นลงมาก

แต่ก่อนลูกค้าต้องคลิกเข้าไปดูหลาย ๆ เว็บไซต์ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ตอนนี้ AI Mode ทำให้ลูกค้าได้ข้อมูลครบถ้วนในหน้าเดียว

เช่น ถ้าลูกค้าอยากซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่ก่อนเขาอาจต้องเข้าไปดู 5-6 เว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบสเปคและราคา แต่ตอนนี้ AI Mode สรุปให้หมดแล้ว ทำให้เส้นทางการซื้อสั้นลงมาก

3. ความน่าเชื่อถือสำคัญมากขึ้น

เมื่อ AI สรุปข้อมูลให้แล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งคือ “ความน่าเชื่อถือ” ของแหล่งข้อมูลนั้น ๆ

เช่น ถ้า AI สรุปข้อมูลจาก 5 เว็บไซต์ แต่มีเพียงเว็บไซต์เดียวที่เป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารู้จักและเชื่อถือ ลูกค้าก็มีแนวโน้มที่จะคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์นั้นมากกว่า

นี่หมายความว่า การสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือจะสำคัญมากขึ้นในยุค AI

เบื้องหลังการทำงานของ Google AI Mode: เทคนิค Query Fan-Out

เคยสงสัยไหมว่า AI Mode ตอบคำถามยาว ๆ และให้คำตอบที่ครอบคลุมได้ยังไง? เบื้องหลังความเจ๋งนี้ คือเทคนิคที่เรียกว่า “Query Fan-Out”

ทำงานยังไงน่ะเหรอ? ง่าย ๆ คือเมื่อคุณพิมพ์คำถามยาว ๆ เข้าไป ระบบจะแยกคำถามนั้นออกเป็นคำถามย่อย ๆ หลายข้อ แล้วส่งแต่ละคำถามไปค้นหาในแหล่งข้อมูลต่าง ๆ

เช่น ถ้าคุณถามว่า “แนะนำร้านอาหารไทยอร่อย ๆ ในพัทยา ที่มีวิวทะเลสวย ๆ ราคาไม่แพงมาก เหมาะสำหรับไปกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก” ระบบจะแยกเป็นคำถามย่อย ๆ เช่น:

  • “ร้านอาหารไทยในพัทยา”
  • “ร้านอาหารวิวทะเลในพัทยา”
  • “ร้านอาหารราคาไม่แพงในพัทยา”
  • “ร้านอาหารเหมาะสำหรับครอบครัวในพัทยา”

จากนั้นจึงนำผลลัพธ์ทั้งหมดมาประมวลผลและสรุปเป็นคำตอบเดียวที่ตอบโจทย์ทุกประเด็นในคำถามของคุณ

นี่คือเหตุผลที่ AI Mode สามารถตอบคำถามซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมและตรงประเด็น

ปรับตัวยังไงให้อยู่รอดในยุค Google AI Mode?

ในเมื่อ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นหาข้อมูลไปอย่างสิ้นเชิง เราจะปรับตัวยังไงให้ธุรกิจยังเติบโตได้ในยุคนี้? นี่คือกลยุทธ์ที่คุณควรทำตอนนี้เลย:

1. สร้างคอนเทนต์ที่มีประสบการณ์จริงและน่าเชื่อถือ

Google ให้ความสำคัญกับหลักการ E-E-A-T มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วย Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) และ Trustworthiness (ความไว้วางใจ)

นั่นหมายความว่า คอนเทนต์ของคุณต้อง “มีชีวิต” ด้วยประสบการณ์จริง ๆ ไม่ใช่แค่ข้อมูลทั่วไปที่ใคร ๆ ก็เขียนได้ หรือ AI ก็สร้างได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเขียนบทความเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวเปอร์เซีย:

  • ใส่ประวัติผู้เขียนที่น่าเชื่อถือ เช่น “สพ.ญ.สมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านแมวเปอร์เซียมากว่า 15 ปี”
  • แชร์เคล็ดลับจากประสบการณ์จริง เช่น “จากที่หมอเลี้ยงแมวเปอร์เซียมา 10 ตัว พบว่าการให้อาหารเม็ดที่มีโปรตีนสูงช่วยให้ขนสวยและแข็งแรงขึ้นจริง ๆ แถมยังช่วยลดปัญหาก้อนขนในท้องได้ด้วย”
  • เล่าเรื่องจริงจากกรณีศึกษา เช่น “คุณนิดเจ้าของแมวเปอร์เซียชื่อปุกปุย เคยประสบปัญหาแมวขนร่วงหนักมาก แต่หลังจากเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ ขนก็กลับมาสวยงามภายใน 2 เดือน”
  • นำเสนอผลวิจัยจริง ๆ เช่น “จากการศึกษาล่าสุดในปี 2024 โดยคณะสัตวแพทย์ จุฬาฯ พบว่าแมวเปอร์เซียในไทยมักมีปัญหาไตมากกว่าแมวพันธุ์อื่น 30%”
  • หลีกเลี่ยงเนื้อหาทั่วไปที่ AI สร้างได้ง่าย ๆ เช่น “แมวเปอร์เซียเป็นแมวขนยาว มีหน้าแบน” (แค่นี้ไม่มีอะไรพิเศษ AI ก็เขียนได้)

2. ปรับคอนเทนต์ให้ตอบคำถามได้โดยตรง (Answer Engine Optimization)

ตอนนี้คนใช้ Google เหมือนการถามคำถาม มากกว่าการค้นหาคีย์เวิร์ด ดังนั้นคุณต้องปรับคอนเทนต์ให้ตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็น

วิธีทำคือ:

  • ใส่ส่วน Q&A หรือ FAQ ในเว็บไซต์ เช่น ในหน้าสินค้าครีมบำรุงผิว อาจมีคำถาม “ครีมนี้เหมาะกับผิวแบบไหน?” พร้อมคำตอบชัดเจนว่า “เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ช่วยลดการระคายเคืองและเพิ่มความชุ่มชื้น”
  • ให้คำตอบสำคัญในย่อหน้าแรกของบทความ เช่น ถ้าบทความเรื่อง “วิธีล้างแอร์บ้านด้วยตัวเอง” ย่อหน้าแรกควรบอกเลยว่า “การล้างแอร์บ้านด้วยตัวเองทำได้ใน 5 ขั้นตอนหลักคือ ปิดไฟ ถอดฝาหน้า ฉีดน้ำยาทำความสะอาด ล้างด้วยน้ำสะอาด และปล่อยให้แห้งก่อนใช้งาน โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง”
  • ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณคืออะไร เช่น FAQ, HowTo, Product หรือ Recipe
  • เขียนด้วยภาษาธรรมชาติเหมือนกำลังคุยกับคน เช่น แทนที่จะเขียนว่า “วิธีการล้างแอร์บ้าน 5 ขั้นตอน” ให้เขียนว่า “คุณอยากล้างแอร์บ้านเองแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? นี่คือ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้”

3. ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้และเทคนิคเว็บไซต์

แม้ว่า AI จะฉลาดขึ้น แต่ Google ก็ยังให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและโหลดเร็ว ดังนั้นคุณควร:

  • ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว เพราะคนไม่ชอบรอ ถ้าเว็บคุณโหลดช้า คนจะออกไปเว็บอื่นทันที
  • ปรับให้เว็บไซต์แสดงผลดีบนมือถือ เพราะตอนนี้คนใช้มือถือค้นหาข้อมูลมากกว่าคอมพิวเตอร์แล้ว
  • สร้างระบบนำทางที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ให้คนหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วที่สุด
  • ใช้ Internal Link เชื่อมโยงหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ให้ดี เพื่อให้ทั้งคนและ Google Bot เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น

4. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า

เมื่อ AI อาจทำให้คนเข้าเว็บน้อยลง การสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าจึงสำคัญมากขึ้น:

  • สร้างรายชื่ออีเมลของลูกค้า เพื่อส่งข้อมูลที่น่าสนใจให้เขาโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่ง Google
    สร้างผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตลอดเวลา
  • สร้างชุมชนออนไลน์ เช่น กลุ่ม Facebook, Line OpenChat หรือ Discord ที่คนมีความสนใจเดียวกันมารวมตัวกัน
  • สร้างคอนเทนต์แบบโต้ตอบ เช่น แบบทดสอบ แบบสำรวจ หรือ Webinar ที่ลูกค้าได้มีส่วนร่วม
  • ส่งเสริมให้ลูกค้าสร้างคอนเทนต์เอง เช่น รีวิวสินค้า แชร์ประสบการณ์การใช้งาน หรือถ่ายรูปสินค้าของคุณลง Social
  • สร้างแบรนด์ให้จดจำง่าย เพื่อให้คนนึกถึงแบรนด์คุณก่อนเสมอเมื่อต้องการสินค้าหรือบริการในกลุ่มของคุณ

5. สร้างคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ข้อความ

AI เก่งมากในการสรุปข้อความ แต่ยังมีข้อจำกัดในการสร้างหรือเข้าใจคอนเทนต์แบบอื่น ๆ ดังนั้นคุณควร:

  • สร้างวิดีโอสอนการใช้งานผลิตภัณฑ์ เพราะคนชอบดูวิดีโอมากกว่าอ่านข้อความยาว ๆ
  • ทำพอดแคสต์ในหัวข้อที่คุณเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และความน่าเชื่อถือ
  • ออกแบบอินโฟกราฟิกที่สวยงามและเข้าใจง่าย สำหรับข้อมูลที่ซับซ้อน
  • สร้างเครื่องมือออนไลน์ที่มีประโยชน์ เช่น เครื่องคำนวณดอกเบี้ยบ้าน เครื่องคำนวณแคลอรี หรือแบบทดสอบบุคลิกภาพ
  • ใช้การเล่าเรื่องที่น่าสนใจในคอนเทนต์ เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้อ่าน

6. เปลี่ยนมุมมองจาก SEO แบบเดิม เป็น Trust-First SEO

ในยุค AI Mode การติดอันดับใน Google อย่างเดียวอาจไม่พอ คุณต้องสร้างความน่าเชื่อถือเป็นอันดับแรก ด้วยกลยุทธ์ 3 ประการ:

  1. WHERE (อยู่ที่ไหน) – ขยายตัวตนของแบรนด์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจากเว็บไซต์ของคุณ เช่น สร้างช่อง YouTube, เพจ Facebook, แอคเคาท์ TikTok, โปรไฟล์ LinkedIn ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าเจอคุณได้หลายช่องทาง
  2. WHAT (ทำอะไร) – สร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริง ๆ เข้าใจว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร มีปัญหาอะไร ต้องการอะไร แล้วสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์เขาจริง ๆ ไม่ใช่แค่ยัดคีย์เวิร์ด
  3. HOW (ทำยังไง) – ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ AI เข้าใจว่าคุณน่าเชื่อถือ ใช้ Schema Markup, Named Entities และทำ Outreach ไปยังเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อสร้าง Brand Citation และ Positive Signals

7. ปรับวิธีวัดความสำเร็จของ SEO แบบใหม่

ถ้าคุณทำธุรกิจที่ต้องพึ่งพา SEO ต้องเตรียมใจไว้เลยว่า จำนวนคนเข้าเว็บอาจจะลดลงแน่นอนในยุค AI Mode แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทรายงานว่าแม้คนเข้าเว็บจะน้อยลง แต่รายได้กลับเพิ่มขึ้น

เช่น NerdWallet รายงานว่า ในปี 2024 รายได้เพิ่มขึ้น 35% ทั้ง ๆ ที่จำนวนคนเข้าเว็บลดลง 20%

นี่เป็นเพราะคนที่ยังคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ในยุค AI Mode เป็นคนที่มีความตั้งใจสูงกว่า และมีโอกาสเป็นลูกค้ามากกว่า

ดังนั้น คุณควรเปลี่ยนวิธีวัดความสำเร็จจาก “จำนวนคนเข้าเว็บ” เป็น “คุณภาพของคนเข้าเว็บ” แทน

8. ยังคงทำ SEO พื้นฐานให้ดีเหมือนเดิม

แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไป แต่พื้นฐานที่ดีของ SEO ก็ยังสำคัญอยู่ ควรทำต่อไปเรื่อย ๆ:

  • สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้
  • ปรับแต่ง Google Business Profile ให้ข้อมูลครบถ้วนและอัปเดตอยู่เสมอ
  • สร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
  • ทำ Technical SEO ให้เว็บไซต์แข็งแรง เช่น ปรับปรุงความเร็ว, ทำ Mobile-friendly, แก้ไข Broken links

Google เองก็ยังแนะนำให้เว็บมาสเตอร์ทำสิ่งเหล่านี้:

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Google Bot เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้
  • สร้างประสบการณ์หน้าเว็บที่ดีผ่านการปรับปรุงความเร็ว, ความสามารถในการใช้งาน และการออกแบบ
  • สร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร น่าเชื่อถือ และเน้นผู้ใช้เป็นหลัก
  • ตรวจสอบว่า Structured Data ตรงกับเนื้อหาที่แสดงจริง
  • เสริมคอนเทนต์ด้วยภาพและวิดีโอคุณภาพสูง
  • อัปเดต Google Business Profile และ Merchant Center ให้เป็นปัจจุบัน (ถ้ามี)

โซเชียลมีเดียได้เปรียบมากขึ้นในยุคของ AI

Google AI Mode

น่าสนใจว่าในขณะที่ Google กำลังเปลี่ยนไปใช้ AI มากขึ้น โซเชียลมีเดียกลับได้เปรียบมากขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการ:

  1. โซเชียลมีเดียให้การสื่อสารโดยตรงระหว่างแบรนด์กับผู้ใช้ – คุณสามารถพูดคุย โต้ตอบกับลูกค้าได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน Google หรือ AI ตัวไหน ลูกค้าสามารถแสดงความคิดเห็น กดไลก์ แชร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้
  2. คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียแพร่กระจายได้เอง – ไม่เหมือนกับการค้นหาที่ AI ให้คำตอบเลย คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียแพร่กระจายได้เองผ่านการแชร์ และอัลกอริธึมที่แสดงคอนเทนต์ให้กับคนที่น่าจะสนใจ
  3. โซเชียลมีเดียมีรูปแบบคอนเทนต์หลากหลาย – ทั้งวิดีโอ สตอรี่ รีล ไลฟ์สด และการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งสร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้มากกว่าข้อความที่ AI สรุปให้
  4. โฆษณาบนโซเชียลมีเดียกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำกว่า – คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดมาก ทั้งข้อมูลประชากร ความสนใจ พฤติกรรม ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพสูงกว่า Display Ads ทั่วไป
  5. คนใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ – ยิ่งคนใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียมากเท่าไหร่ แบรนด์ก็ยิ่งควรไปอยู่ที่นั่นมากขึ้นเท่านั้น

นักการตลาดจึงกำลังจัดสรรงบประมาณมากขึ้นให้กับโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, TikTok, LinkedIn และ YouTube รวมถึงการทำตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และการสร้างชุมชนออนไลน์ แบรนด์ต่าง ๆ ลงทุนมากขึ้นในการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและแชร์ได้ง่าย

สุดท้ายแล้ว แบรนด์ที่ฉลาดจะผสมผสานทั้งโซเชียลมีเดีย อีเมลมาร์เก็ตติ้ง แอปพลิเคชัน และโฆษณาแบบเสียเงิน เพื่อสร้างการเข้าถึงแบบหลายช่องทาง โดยไม่พึ่งพาแค่ SEO อย่างเดียวอีกต่อไป

บริการครบวงจรจาก Cipher Digital Marketing Agency

บริษัท Cipher ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลแบบครบวงจร เราพร้อมช่วยยกระดับธุรกิจของคุณด้วยบริการที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการทางการตลาดดิจิทัล ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเผชิญกับความท้าทายใดในยุคที่ Google AI Mode กำลังเปลี่ยนแปลงโลกออนไลน์

บริการของเราที่พร้อมช่วยธุรกิจคุณเติบโต

  1. บริการด้าน SEO
    • วิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหา
    • พัฒนากลยุทธ์คำหลัก (Keywords) ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
    • ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับทั้งผู้ใช้และ Google
    • สร้างและพัฒนา Backlinks ที่มีคุณภาพสูง
  2. Software Development
    • พัฒนาซอฟต์แวร์ทางธุรกิจตามความต้องการเฉพาะของคุณ
    • ออกแบบและพัฒนาระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    • สร้างแพลตฟอร์มที่รองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
    • ดูแลและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง
  3. Inbound Marketing
    • วางกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มสนใจสินค้าและบริการของคุณ
    • สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
    • พัฒนาระบบนำลูกค้าเข้าสู่กระบวนการขาย (Lead Generation)
    • วิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  4. Marketing Automation
    • ออกแบบระบบการตลาดอัตโนมัติที่ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร
    • พัฒนาระบบอีเมลมาร์เก็ตติ้งที่ส่งข้อความได้ตรงใจในเวลาที่เหมาะสม
    • สร้างระบบติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
    • บูรณาการระบบการตลาดกับระบบ CRM ของคุณ
  5. Web Design
    • ออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงาม ทันสมัย และใช้งานง่าย
    • พัฒนาเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนทุกอุปกรณ์ (Responsive Design)
    • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เพื่อเพิ่มอัตราการคอนเวอร์ชัน
    • สร้างเว็บไซต์ที่โหลดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
  6. Social Media Management
    • วางแผนและบริหารจัดการโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม
    • สร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วม
    • วิเคราะห์และรายงานผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ
    • จัดการและตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อความจากลูกค้า
  7. Online Branding
    • สร้างและพัฒนาอัตลักษณ์แบรนด์ที่โดดเด่นบนโลกออนไลน์
    • ออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์
    • สร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ
    • บริหารชื่อเสียงของแบรนด์บนโลกออนไลน์
  8. E-Commerce
    • ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce ด้วยระบบ Magento
    • ปรับแต่งหน้าร้านให้น่าสนใจและใช้งานง่าย
    • พัฒนาระบบจัดการสินค้าและการชำระเงินที่ปลอดภัย
    • เพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์การตลาดสำหรับ E-Commerce
  9. บริการด้าน Key Opinion Leader (KOL)
    • วางแผนและบริหารแคมเปญร่วมกับผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์
    • คัดเลือกผู้มีอิทธิพลที่เหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย
    • ออกแบบคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ
    • วัดผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ
  10. Mobile Application Development
    • ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android
    • สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่นและน่าประทับใจ
    • พัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
    • ดูแลและอัปเดตแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ
  11. SMS Marketing
    • วางกลยุทธ์การตลาดผ่าน SMS ที่มีประสิทธิภาพ
    • ออกแบบข้อความที่กระชับ น่าสนใจ และจูงใจ
    • กำหนดเวลาส่งที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มอัตราการตอบสนอง
    • วัดผลและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
  12. Display ADS
    • วางแผนและออกแบบโฆษณาดิสเพลย์ที่ดึงดูดความสนใจ
    • กำหนดกลุ่มเป้าหมายและตำแหน่งการแสดงผลที่เหมาะสม
    • บริหารงบประมาณโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
    • วิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

ที่ Cipher เรามุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางการตลาดดิจิทัลที่คุณไว้วางใจได้ ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สรุป

Google AI Mode กำลังเปลี่ยนโลกของ SEO อย่างสิ้นเชิง ทำให้การทำแค่คีย์เวิร์ดไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจต้องสร้างคอนเทนต์ที่มีประสบการณ์จริง น่าเชื่อถือ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ และมีคุณค่าที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ แม้จำนวนคนเข้าเว็บอาจลดลง แต่คุณภาพจะสูงขึ้น เริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ด้วยการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พัฒนาเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ และสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า คุณจะไม่เพียงอยู่รอดแต่ยังเติบโตได้ในยุค AI

คำถามที่พบบ่อย

Google AI Mode คืออะไร?

Google AI Mode เป็นระบบค้นหาแบบใหม่ที่ใช้ AI อ่านข้อมูลจากหลายเว็บไซต์ แล้วสรุปคำตอบให้คุณทันทีบนหน้าผลการค้นหา คุณไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านหลายๆ เว็บไซต์อีกต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถพูดคุยแบบต่อเนื่องได้ เช่น ถามคำถามเพิ่มเติมต่อจากคำถามแรกได้

Google AI Mode ส่งผลอย่างไรต่อ SEO?

เมื่อ AI สามารถสรุปข้อมูลและให้คำตอบได้โดยตรง การทำ SEO แบบเดิมจึงต้องปรับเปลี่ยนไป ผลกระทบที่เห็นได้ชัดมีดังนี้:

  • คนคลิกเข้าเว็บไซต์น้อยลง เพราะได้คำตอบจาก AI แล้ว
  • คีย์เวิร์ดมีความสำคัญน้อยลง แต่บริบทและเจตนาผู้ใช้สำคัญมากขึ้น
  • เว็บไซต์บทความ ข่าว รีวิว และไดเรกทอรี่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
  • เว็บ E-Commerce และเว็บบริการยังพอไม่เป็นไร เพราะคนยังต้องคลิกเข้าไปซื้อของหรือใช้บริการ
  • แม้จำนวนคนเข้าเว็บจะลดลง แต่คุณภาพอาจดีขึ้น เพราะคนที่ยังคลิกเข้ามาคือคนที่สนใจจริง ๆ

เราจะรับมือกับ Google AI Mode อย่างไร?

เพื่อให้ธุรกิจของคุณยังเติบโตได้ในยุค AI ต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ใหม่ ด้วยวิธีการต่อไปนี้:

  • สร้างเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริง น่าเชื่อถือ มีข้อมูลเฉพาะที่ AI ทำซ้ำไม่ได้
  • ให้คำตอบชัดเจนในย่อหน้าแรก และใช้คำถาม-คำตอบ (FAQ) ในเว็บไซต์มากขึ้น
  • สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพื่อให้คนจดจำและเลือกเข้าเว็บของคุณ
  • ใช้หลายช่องทาง ไม่พึ่งแค่ SEO อย่างเดียว เช่น อีเมล โซเชียลมีเดีย
  • สร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ เช่น วิดีโอ พอดแคสต์ อินโฟกราฟิก ซึ่ง AI ยังทำได้ไม่ดีเท่า
Scroll to Top