ค่า ROI หรือ Return on Investment ก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง
สำหรับวงการธุรกิจแล้ว ทุกการลงทุนจะต้องมีต้นทุน และแน่นอนว่า การวัดค่าหรือการประเมินผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ว่าสิ่งที่เราลงทุนไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่ (การวัดผลตอบแทนนั้นก็คือ ROI นั่นเอง)
ส่วนประเภทของการลงทุนในทางธุรกิจที่สามารถวัดค่า ROI ได้นั้น ก็คือการลงทุนทุกประเภทที่ต้องใช้เงินทุน ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดต่างๆ การทำโฆษณา การทำ AdWords การจ้างทีมออแกไนซ์ การสร้างแคมเปญต่างๆ การออกบูท หรือแม้แต่การจ้างสตาฟต่างๆภายในงาน
การวัดค่า ROI นี้ สำคัญอย่างไร ?
ถ้าสำหรับทีมมาเกตติ้ง ก็เพื่อวัด Performance ในการทำงาน หรือถ้าสำหรับในเชิงธุรกิจ ก็เพื่อวัดกำไรที่ได้จากการลงทุน เพื่อที่จะสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้ว่า การลงทุนแบบไหนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน และการลงทุนในจุดไหนที่ควรแก้ไข ปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรที่มากยิ่งขึ้น
โดยยิ่งค่า ROI สูงมากเท่าไหร่ ยิ่งดี
เพราะมันแปลว่า คุณได้ผลตอบแทนหรือกำไรที่สูงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนของการลงทุน
หรือง่ายๆคือ คุณอาจจะลงทุนทำแคมเปญหนึ่งด้วยต้นทุนที่น้อย แต่คุณกลับได้กำไรจากแคมเปญนั้นมากมายหลายเท่าตัวจากต้นทุนที่ลงทุนไป แบบนี้จะเรียกว่า ค่า ROI สูงนั่นเองค่ะ
สูตรคำนวณ ROI ทำได้ง่ายๆดังนี้ ดังนี้
ตัวอย่าง : บริษัท Cipher Co., Ltd. ได้ลงทุนในการสัมนาการให้ความรู้เกี่ยวกับ Inbound Marketing ในราคา 10,000 บาท หลังจากการสัมมนานั้น ทำให้มีลูกค้าหลายรายสนใจในบริการของ Inbound Marketing และทำให้เดือนนั้นมีลูกค้าใช้บริการ Inbound Marketing กว่า 250,000 บาท
สามารถคิดค่า ROI ได้ โดยการนำข้อมูลมาใส่สูตรคำนวณ ดังนี้
จะเห็นว่า จากข้อมูลทั้งหมด จะทำให้คำนวนค่า ROI ออกมาได้สูงถึง 2400% กันเลยทีเดียว
แสดงให้เห็นว่า การลงทุนนี้ ทำให้ได้ผลกำไรที่ดีมาก หรือเรียกว่าในระดับดีเยี่ยม เพราะเลข ROI สูงมาก
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การลงทุนใดๆที่มีค่า ROI สูง กว่า 100% ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแล้ว
ถ้าหากว่าการลงทุนใด ที่มีค่า ROI ต่ำกว่า 100% ถือว่าการลงทุนนั้นไม่ควรลงทุนอีกต่อไป ให้ผลกำไรไม่คุ้มค่า ควรปรับปรุง หรือเปลี่ยนเป็นลงทุนในแบบอื่นแทนจะดีกว่าค่ะ