แพลตฟอร์ม E-commerce (อีคอมเมิร์ซ) ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย เช่น Spopify, WooCommerce และ BigCommerce แต่การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาหลาย ๆ ปัจจัย เพื่อให้เหมาะกับแบรนด์ และช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจสามารถเติบโตไปได้ไกล ซึ่งหากเจ้าของธุรกิจกำลังมองหาแพลตฟอร์มสำหรับใช้เว็บไซต์ E-commerce การใช้ Magento ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะมี Extension ของ Magento ที่ตอบโจทย์การทำงานได้ทุกรูปแบบ และได้รับความนิยมสูง ซึ่งในบทความนี้ได้สรุปจุดเด่นของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
จุดเด่นของแพลตฟอร์ม E-commerce
1. แพลตฟอร์ม Magento
จุดเด่นของ Magento
Magento เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมและการยอมรับเป็นอันดับสูง และครอบคลุมการใช้งานที่สุด เพราะสามารถปรับแต่งได้สูง โดย Magento มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจ ทำให้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่มีฟีเจอร์และการทำงานตามที่ต้องการได้อย่างสมบูรณ์
อีกทั้ง Magento ยังเหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสินค้าหลายหมื่นรายการ พร้อมด้วยฟีเจอร์และเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง, การจัดการคำสั่งซื้อ, ระบบโปรโมชั่น, ระบบสมาชิก และอื่น ๆ ช่วยในการสนับสนุนหลายร้านค้า และสามารถจัดการหลายร้านค้าออนไลน์จากแพลตฟอร์มเดียว ทำให้การจัดการต่าง ๆ ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งช่วยประหยัดเวลาในการทำงานและลดการทำงานที่ซับซ้อน ทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยลง
ข้อควรพิจารณาของ Magento
การติดตั้งและการใช้งานที่ซับซ้อน โดย Magento ต้องการความรู้ทางเทคนิคและการพัฒนาในการติดตั้งและการปรับแต่ง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้งาน ทำให้จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญ หรือนักพัฒนา Magento และต้องการทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูง ต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรัน ทำให้ค่าใช้จ่ายในการโฮสติ้งสูงขึ้น
2. แพลตฟอร์ม Shopify
จุดเด่นของ Shopify
แพลตฟอร์ม Shopify มีการใช้งานง่ายและไม่ต้องการความรู้ทางเทคนิคมากในการตั้งค่าและจัดการร้านค้า มีการสนับสนุนลูกค้า และมีทีมสนับสนุนลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมให้บริการ และการโฮสต์ที่มีการจัดการดูแลการโฮสต์และบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องเซิร์ฟเวอร์
ข้อควรพิจารณา Shopify
แพลตฟอร์ม Shopify มีการปรับแต่งจำกัด แม้ Shopify จะมีธีมและแอปมากมาย แต่ยังมีข้อจำกัดในการปรับแต่งเทียบกับ Magento นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มเติมหากไม่ใช้ Shopify Payments
3. แพลตฟอร์ม WooCommerce
จุดเด่นของ WooCommerce
แพลตฟอร์ม WooCommerce มีการผสานรวมกับ WordPress โดย WooCommerce เป็นปลั๊กอินของ WordPress ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งาน WordPress อยู่แล้ว มีรูปแบบการปรับแต่งได้ง่าย มีปลั๊กอินและธีมที่หลากหลายเพื่อให้สามารถปรับแต่งร้านค้าได้ตามต้องการ อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลดและติดตั้ง
ข้อควรพิจารณา WooCommerce
แพลตฟอร์ม WooCommerce ผู้ใช้จำเป็นต้องดูแลเรื่องการโฮสต์ การบำรุงรักษา และความปลอดภัยเอง และมีความซับซ้อนเมื่อขยายตัว โดยเมื่อธุรกิจขยายตัว หรือเติบโตขึ้น WooCommerce อาจต้องการการปรับแต่งและการบริหารจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้น
4. แพลตฟอร์ม BigCommerce
จุดเด่นของ BigCommerce
แพลตฟอร์ม BigCommerce มีฟีเจอร์ที่ครบครัน โดย BigCommerce มีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซครบครัน เช่น ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง ระบบโปรโมชั่น และการสนับสนุนหลายช่องทาง การโฮสต์ที่มีการจัดการ โดยดูแลการโฮสต์และการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้ยังสามารถการปรับแต่ง SEO ซึ่งมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถปรับแต่ง SEO ได้ง่าย
ข้อควรพิจารณา BigCommerce
แพลตฟอร์ม BigCommerce มีการปรับแต่งจำกัด โดยการปรับแต่งฟีเจอร์และการทำงานบางอย่างอาจมีข้อจำกัด และมีค่าใช้จ่าย หรือค่าบริการรายเดือนของ BigCommerce เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ
E-commerce ควรใช้แพลตฟอร์มไหน?
การเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและขนาดของธุรกิจ โดย Shopify และ BigCommerce เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานและการบำรุงรักษา WooCommerce เหมาะสำหรับธุรกิจที่ใช้ WordPress และต้องการโซลูชันที่ปรับแต่งได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก โดย Magento ถือได้ว่าเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นและฟีเจอร์ที่หลากหลาย สามารถใช้งานได้ครอบคลุม และตอบโจทย์ E-commerce แต่มีความซับซ้อน ทำให้ต้องการความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และสำหรับใครที่ต้องการคำแนะนำในการใช้งาน Magento เพื่อการต่อยอดการเติบโตในธุรกิจ สามารถรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่: (คลิกที่นี่)