ในทางปฏิบัติ การทำประชาสัมพันธ์แบบขาเข้า หรือ Inbound PR ถือเป็นพัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ของกลยุทธ์การตลาด โดยมีการรวมเอาจุดเด่นของการทำการตลาดแบบขาเข้า หรือ Inbound Marketing และการประชาสัมพันธ์หรือ PR ที่ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่เราเชื่อว่าความยืดหยุ่นของกลยุทธ์ที่สามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ได้ , ทีมมีความรู้สึกรับผิดชอบและยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานและผลลัพธ์ที่เห็นได้รวดเร็ว ส่งผลให้วิธีการนี้มีประสิทธิภาพกว่าวิธีการทำประชาสัมพันธ์แบบเดิม ๆ
ทั้งทีม Inbound Marketing และทีม PR ต่างก็มีเป้าหมายที่อยากให้ภาพลักษณ์ขององค์กรออกมาดูดีในสายตาลูกค้ารวมถึงผู้คนทั่วไป พร้อมทั้งสร้างความประทับใจไปนาน ๆ ที่สำคัญคือทำการเปิดทางให้บริษัทเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีจากลูกค้าและผู้คนเหล่านี้ให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งทีมงานต่างก็ใช้วิธีการเหมือนกันคือ การโพสท์บล็อก, ส่งอีเมล์ และลงบทความในสื่อสิ่งพิมพ์ ที่สำคัญไปกว่านั้น ทั้ง 2 กลุ่มยังใช้วิธีการเล่าเรื่องเพื่อให้ข้อมูลกับลูกค้าเหมือน ๆ กัน
แต่เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไป การตลาดแบบแรงผลักหรือ Outbound marketing เริ่มตกยุค ไม่เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และในบางกรณีกลยุทธ์นี้ก็กลายเป็นภัยร้ายที่คุกคามแบรนด์ของคุณอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งในด้านการเงินและชื่อเสียงหน้าตาองค์กร แต่ด้วยกลยุทธ์แบบขาเข้า( Inbound) คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้และได้รับผลลัพธ์ดีที่สุดจากการโปรโมท ซึ่งหากสนใจสามารถลองอ่านบล็อกของเราเกี่ยวกับ ‘วิธีการสร้างสุดยอดแผนกลยุทธ์การตลาดแบบแรงดึงดูด’ เพิ่มเติมได้
แผนกลยุทธ์การทำPR แบบ Inbound ที่ดีจะเล่าเรื่องในเชิงบวกและขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมสร้างผลตอบรับที่ดีต่อเรื่องเล่าเชิงลบเพื่อควบคุมผลกระทบที่ตามมา ซึ่งประเด็นนี้จะเกี่ยวกับการสร้างสรรค์เรื่องเล่าชั้นยอด รวมทั้งการค้นหากลุ่มคนที่ต้องการฟังเรื่องเล่านี้ จากนั้นก็เล่าเรื่องออกไปด้วยเนื้อหาที่ปรับแต่งให้มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจ ซึ่งสุดยอดเป้าหมายของกลยุทธ์การทำประชาสัมพันธ์แบบขาเข้า คือ การนำพาบริษัทไปถึงจุดที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าใหม่ได้ง่าย เพราะชื่อเสียงองค์กรที่สั่งสมมาจนสร้างความน่าเชื่อถือให้การสื่อสารกับลูกค้าทุกครั้งได้รับผลตอบกลับมาด้วยความสำเร็จตามเป้าหมาย
ดังนั้น หากคุณกำลังอยากรู้ว่าจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ต่อไปนี้ เราจะพาคุณเจาะ 7 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการสร้างแผนกลยุทธ์การทำประชาสัมพันธ์แบบแรงดึงดูด
1.ทำความเข้าใจจุดแข็งและคุณค่าของตนเอง
ก่อนจะเริ่มต้นทำอะไร คุณจำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อยทำความเข้าใจตัวตนของแบรนด์ เพราะสิ่งที่คุณกำลังจะนำเสนอและคุณค่าที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าเริ่มต้นจากจุดนี้ คุณไม่สามารถส่งมอบคุณค่าสู่กลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้องหากยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะส่งมอบสิ่งใด ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมแบรนด์จึงไม่สามารถส่งเสริมคุณค่าสิ่งนี้ให้ว่าที่ลูกค้าของคุณได้
สำหรับลูกค้าใหม่ เราเริ่มต้นได้ด้วยการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ คุณต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถให้ความไว้วางใจได้ มีความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ หากองค์กรสามารถแปลงองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า ต่อจากนั้นปล่อยให้เรื่องเล่าทำหน้าที่สะท้อนเรื่องราวเหล่านี้กับลูกค้าเอง แต่ถ้าตัวองค์กรขาดคุณสมบัติในเรื่องพวกนี้และดูเหมือนยึดเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่แล้ว จะส่งผลตรงกันข้าม เพราะความไว้วางใจของลูกค้าจะลดลง
ในขั้นตอนต่อมา คุณต้องทำความเข้าใจถึงสิ่งที่บริษัทของเราสามารถนำเสนอต่อผู้คนทั่วไปว่า สิ่งนี้เป็นคุณค่าที่แท้จริง คุณต้องตระหนักถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของคุณในระยะสั้น กลางและระยะยาว ซึ่งถ้าคุณเริ่มต้นอย่างถูกต้องด้วยหลักการดังที่กล่าวไปนี้แล้วครั้งหนึ่ง การเจรจาต่อรองซื้อขายในครั้งต่อไปจะง่ายขึ้นอีกมาก
2.การวิเคราะห์ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
ขั้นตอนต่อไป คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณโดยใช้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทำได้โดยการค้นหาจาก Google Trends, รายงานคำหนักจาก Adwords, การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของ Facebook และ Google Analytics อื่นๆ
ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือวิเคราะห์และเก็บข้อมูลเชิงสถิติหลายร้อยแบบให้เลือกใช้ ดังนั้น หากคุณมีโครงสร้างข้อมูลของคุณแล้ว ให้กำหนดตัวชี้วัดผลธุรกิจตัวหลัก ๆ และเริ่มเชื่อมจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อมองหาภาพที่อยู่ในหัวลูกค้า เมื่อคุณเข้าใจว่าลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณอย่างไรแล้ว ก็สามารถเริ่มจัดเตรียมเนื้อหาให้ตรงตามความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้
3.เตรียมเนื้อหาให้ตรงตามความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
ตอนนี้คุณมีข้อมูลและความเข้าใจถึงคุณค่าที่คุณสามารถมอบให้ลูกค้าของคุณได้แล้ว ต่อไปคุณต้องถามตัวเองด้วยคำถาม 2 อย่างคือ บริษัทมุ่งไปที่การขายโดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณหรือไม่? คุณกำลังขายบางสิ่งที่ลูกค้าของคุณต้องการใช้หรือไม่? ถ้าใช่ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าอยากได้ มันจำเป็นจริง ๆ หรือไม่? จงใช้องค์ประกอบสำคัญ 3 ประการข้างต้นมาใช้ตรวจสอบตัวเองก่อน หากคุณสอบผ่าน 2 ใน 3 ข้อ แสดงว่าการนำเสนอขายขายครั้งนี้จะเอื้อประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่าย
4.สร้างเรื่องเล่าเฉพาะบุคคล
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น คุณต้องเตรียมองค์ประกอบสำคัญในเนื้อหาของคุณด้วยวิธีการที่เอื้อประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่ายในยามที่เปิดฉากเจรจาพูดคุยกัน เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่า เนื้อหาที่ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวจะทำงานได้เต็มที่ คุณจำเป็นต้องสร้างเนื้อหาให้สอดคล้องเฉพาะเจาะจงกับความสนใจและความต้องการของลูกค้าทั้งในแง่บุคลิกลักษณะและสถิติต่าง ๆ ของลูกค้า
บุคลิกลักษณะของผู้ชมสร้างความแตกต่างอย่างมากในการตอบสนองต่อเนื้อหา ในห้องหนึ่ง คุณอาจพบว่ามีคนถึง 4 คนที่มีพื้นฐานชีวิตและสังคมเหมือนกัน แต่พวกเขาแต่ละคนกลับมีประสบการณ์ในการชื่นชอบบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันอันเนื่องมาจากบุคลิกลักษณะของแต่ละคน เมื่อคุณกำลังวางแผนกลยุทธ์ทำประชาสัมพันธ์แบบขาเข้า คุณต้องใช้การวิเคราะห์ใจความหลักสำคัญเพื่อกำหนดชี้ชัดว่าบุคลิกลักษณะใดที่คุณต้องการนำเสนอ แล้วค่อยปรับแต่งข้อความให้สอดคล้องตรงกัน
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังหามองหากลุ่มเป้าหมายที่มีความคิดอย่างมีเหตุมีผล เนื้อหาที่กำลังจะนำเสนอออกไปต้องมีการอ้างอิงสถิติถึงจะได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้
เรื่องเล่าที่ทรงพลังและมีความสัมพันธ์กันจะสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลต่อภาพลักษณ์องค์กรที่สื่อออกไป แต่การจะเผยแพร่เนื้อหาของคุณออกไปในวงกว้าง คุณจำเป็นต้องสื่อสารผ่าน Influencer หรือผู้จุดกระแสที่มีอิทธิพลต่อสังคมออนไลน์ให้ถูกคน
5.จัดทำแผนผังเครือข่าย Social media ที่ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
การร่วมงานกับผู้คนที่มีอิทธิพลหรือเป็นผู้นำความคิดของคนอื่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเผยแพร่เนื้อหาของคุณบนสังคมออนไลน์และสร้างความน่าเชื่อถือให้เรื่องเล่าของคุณ (หากกระทำอย่างถูกกฎหมาย) คุณต้องแน่ใจว่าการบอกเล่าเรื่องราวของคุณนั้นสามารถไว้วางใจได้, โปร่งใสและให้ความเคารพพื้นที่ส่วนตัวของลูกค้า ส่วนประกอบของแผนผังเครือข่ายประกอบด้วย
- Enthusiasts (กลุ่มแฟนผู้คลั่งไคล้)
- Advocate (ผู้ช่วยจุดกระแส) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะคอยช่วยเผยแพร่เนื้อหาของคุณในฐานะผู้ช่วยจุดกระแสชั้นรองลงมา
- Influencer กลุ่มคนทำหน้าที่เผยแพร่ข้อความโดยแชร์บทความไปยังกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องมีความน่าเชื่อถือ
- Narrative (เรื่องเล่า)
- Persona (ข้อมูลส่วนบุคคล) ประกอบไปด้วยบุคลิกลักษณะของผู้ซื้อ, ความชอบ เป็นต้น
ขอแนะนำให้ใช้เวลาสัก 2-3 ชั่วโมงในการค้นหากลุ่มคนที่จะมาพูดถึงสินค้าคุณและแบ่งปันหัวข้อสำคัญที่คุณได้เลือกไว้ให้นำเสนอ ซึ่งจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็ว แม้ว่าเครื่องมืออย่าง Buzzsumo จะช่วยคุณทำงานนี้ได้รวดเร็ว คุณยังจำเป็นต้องวางแผนการสื่อสารที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดและพยายามจุดประเด็นเนื้อหาสาระสำคัญของคุณตรงนี้
6.ขยายโอกาสในเชิงรุกไปยังกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีปั่นยอดเข้าชม
ในตอนนี้เรามีเรื่องที่จะเล่าและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึงแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะทำการเผยแพร่เนื้อหา ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้กันก็คือ การโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มโซเซียลทุกแพลตฟอร์มตามปกติ การเผยแพร่เนื้อหาและตอบคำถามผ่าน Quora รวมทั้งพยายามขยายขอบเขตบนโลกโซเซียลออกไปให้กว้างที่สุดที่จะทำได้ ด้วยการแชร์บทความ, เขียนคอมเมนต์บนบทความอื่น ๆ และสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นที่ลูกค้าคุณพบเห็น เป็นต้น
นี่เป็นวิธีที่ได้ผลในการเผยแพร่ข้อความของคุณ แต่ทว่า มันใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอแนะนำให้คุณเร่งผลลัพธ์ในขั้นตอนนี้ด้วยการลงทุนซื้อยอดเข้าชม
เมื่อเราได้โพสต์ข้อความลงบนสื่อสังคมออนไลน์ เราจะเห็นผลตอบรับจากผู้ชมหรือแฟนเพจที่มีต่อเนื้อหา ซึ่งหากไร้คอมเมนต์ด้านลบต่อชื่อเสียงองค์กรหรือไม่มีพวกเกรียนคีย์บอร์ดมาคอยก่อกวนแล้ว ให้ทำการลงทุนซื้อยอดเข้าชม โดยเลือกสร้างกลุ่มแฟนเพจตามบุคลิกลักษณะของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
เชื่อเราเถอะว่าคุณไม่อยากเสียเวลานานหลายเดือนและเงินลงทุนก้อนหนึ่งไปกับการสร้างบทความจำนวนมหาศาล และความพยายามสร้างลิงค์และเครือข่ายบนโลกโซเซียลซ้ำกลับไปกลับมา หรือต่อให้หากลุ่มเป้าหมายของคุณเจอแต่กลับไม่ได้แปลงให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ มันจะดีกว่าที่จะยอมจ่ายและใช้เวลาซักเดือน เพื่อค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่ตอบสนองข้อความของคุณและคำหลักสำคัญที่จะสร้างยอดขายให้คุณ การลงโฆษณามากพอที่ได้ยอดคลิ๊กจนปิดการเจรจาซื้อขาย 2 – 3 รายจากเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นย้อนกลับมาดูแหล่งที่มาของการเจรจาซื้อขายด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ของคุณ เมื่อคุณทำได้ครั้งหนึ่ง คุณสามารถทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปยังกลุ่มเป้าหมาย, คำหลักสำคัญ ความแตกต่างของข้อความโฆษณาที่ติดหูติดตา และภาพลักษณ์ที่ประสบความสำเร็จ
มองไปถึงตอนที่ไปถึงจุดที่สร้างผลกำไร คุณสามารถวัดผลการทำประชาสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงเรื่องเล่าที่ต่อยอดสร้างการเจรจาซื้อขายได้อีกมากมาย เมื่อคุณทำแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ คุณสามารถใช้ระบบอัตโนมัติและปล่อยให้ระบบดูแลจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ไปจนถึงปิดการขายในที่สุด
7.หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์และความนิยมจากลูกค้าโดยใช้ระบบอัตโนมัติ
ถึงตอนนี้คุณก็มียอดเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ที่ผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายกำลังสนใจ ถึงเวลาออกแบบยอดเข้าชมในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติสำหรับบริหารจัดการงานต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของยอดเข้าชม ประการแรก เราจะให้ระบบอัตโนมัติทำหน้าที่ในการส่งอีเมล์ฉบับที่ 2 เพื่อเก็บข้อมูลจากลูกค้าให้มากขึ้น ต่อมา เราตรวจสอบระบบลงทะเบียนผู้ใช้ภายในพื้นที่หรือ HLR เพื่อเช็คว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือของกลุ่มเป้าหมายยังเปิดใช้งานอยู่ และใช้ผลการชี้วัดของระบบประเมินมาช่วยสร้างความมั่นใจให้ฝ่ายขายพูดถึงสิ่งชี้นำจูงใจลูกค้าที่ดีที่สุด เมื่อปิดการขายสำเร็จ หมั่นทบทวนข้อความและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบริการหลังการขายว่าถูกส่งมอบให้ลูกค้าโดยอัตโนมัติ เป็นการตอกย้ำความมั่นใจว่า ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการของเราในครั้งต่อไป พร้อมกับพัฒนาการรับรู้ถึงภาพลักษณ์แบรนด์ในด้านบวก
ผลลัพธ์
เป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะบอกคุณว่า ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะช่วยวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์แบบขาเข้าที่ยิ่งใหญ่ แต่หากปราศจากข้อพิสูจน์แล้ว มันก็เป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ซึ่งด้านล่างนี้ เราได้ทำการสรุปผลลัพธ์จากกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์แบบInbound หนึ่งด้วยวิธีเร่งลงทุนซื้อยอดเข้าชมที่ดำเนินการมา 6 เดือน
- ผลตอบแทนจากการลงทุนซื้อโฆษณาที่จ่ายออกไปทุก 1 ปอนด์ได้กำไรคืนกลับมา 23 ปอนด์
- ยอดการติดตามบนโลกโซเซียลบนทุกแพลตฟอร์มรวมแล้วเติบโตบวกลบไม่เกิน 427%
- ในส่วนของ Organic SEO คำหลักสำคัญได้รับการจัดลำดับอยู่ 3 อันดับที่มียอดผู้เข้าชมมากที่สุด
ผลลัพธ์พูดถึงตัวมันเอง หากทำถูกวิธี กลยุทธ์ประชาสัมพันธ์แบบขาเข้าจะสร้างผลลัพธ์น่าทึ่งให้กับแบรนด์ของคุณ ไม่ใช่มาจากทัศนคติของกลุ่มผู้จุดกระแสอย่างเดียว แต่มาจากทุกภาคส่วนของธุรกิจคุณด้วย