การที่จะจ้างนักพัฒนาระบบ Magento ในแต่ละครั้ง อาจเรียกได้ว่า มันเป็นส่วนสำคัญมาก ที่มันอาจจะสร้างหรือทำลายงบประมาณ และตารางเวลาของคุณได้ง่ายๆ แล้วคุณจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าคุณกำลังจะจ้างคนที่ใช่สำหรับโปรเจคนี้? การเลือกนักพัฒนา Magento มีอยู่เป็นแสน ถ้าคุณลองเสิร์ชใน Google ว่า “นักพัฒนา Magento” รายชื่อและหน้าเว็บของพวกเขาจะขึ้นมาเหยียดยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว

แล้วถ้าเข้าไปหาที่ LinkedIn ก็จะเจออีกเป็นล้านกลุ่มเลย หรือไม่ คุณอาจจะเคยได้รับอีเมลเป็นโหลจากคนในต่างประเทศที่พยายามจะขายสินค้าให้คุณ ประมาณว่า “บริการอีคอมเมิร์ซที่ดีที่สุด” นั่น…โน่น…นี่… แล้วทีนี้คุณควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ถึงจะได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และจะเลือกข้อมูลที่ถูกต้องได้จากบทความด้านล่างนี้ หรือสอบถามเกี่ยวกับบริการ Magento Service ของทางเราได้

1. มีการตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ รึยัง?

ต้องให้แน่ใจว่า คุณได้ตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ และได้โทรคุยกับพวกเขาแล้ว หากบริษัทที่คุณกำลังพูดคุยอยู่ไม่เต็มใจที่จะให้ข้อมูลอ้างอิง หรือหากพวกเขาบอกประมาณว่า “เรื่องนี้เป็นความลับ” ก็รับรองได้เลยว่าคุณกำลังจะโดนหลอก เพราะหากมีการทำงานได้ดี ก็แน่นอนว่าต้องมีลูกค้าที่พร้อมจะอ้างอิงให้

แล้วต้องแน่ใจอีกว่าคุณได้โทรติดต่อเพื่อถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ควรถามด้วยว่าพวกเขาจะสามารถส่งงานตรงเวลาได้หรือไม่ ถามว่าพวกเขาจัดส่งงานตามงบประมาณได้ไหม หรือพวกเขาพยายามจะเรียกเก็บเงินเพิ่มตอนส่งงานขั้นสุดท้าย แล้วพวกเขามีเวลาคุยกับคุณไหม? หากอยู่นอกประเทศ คุณจะสามารถติดต่อกับพวกเขาในช่วงเวลากลางวันในเขตเวลาของคุณได้หรือไม่?

2. พวกเขาถามคำถามที่ถูกต้องหรือไม่?

ถ้ามีคนเสนอราคาค่าใช้จ่ายของเว็บไซต์ให้กับคุณแต่พวกเขากลับไม่ถามว่าขั้นตอนที่จะบรรลุเป้าหมายของคุณคืออะไร แล้วเขาจะรู้จริง ๆ ว่ามันมีราคาเท่าไหร่ได้ยังไง? นักพัฒนาที่ดี จะถามคุณก่อนเลยว่า “สินค้าของคุณมีอยู่กี่ชิ้น?” พวกเขาจะถามคุณเกี่ยวกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ขั้นตอนการทำงานเบื้องหลังในออฟฟิศของคุณ แลtขั้นตอนที่จะบรรลุเป้าหมายต่างๆ ถ้าไม่มีใครถามคำถามที่ถูกต้องแบบนี้กับคุณ เดาได้เลยว่า คุณจะได้เจอกับเว็บไซต์คุณภาพแย่ที่มาพร้อมกับการต้องจ่ายเพิ่มเพื่อแก้ไขความผิดพลาดของทั้งคู่

3. พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง?

นักพัฒนา Magento ในต่างประเทศมักมี มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องหลีกเลี่ยงตามข่าวลือดังกล่าว นักพัฒนาระบบในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา อาจะต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5-10 เท่าต่อชั่วโมงดังนั้นการที่จะทำธุรกิจในต่างประเทศ อาจจะทำให้คุณได้รับผลงานที่ดีด้วย ถ้าคุณสามารถหานักพัฒนาที่ใช้ได้

อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ คือ คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะสามารถติดต่อกับพวกเขาได้ตลอดในช่วงกลางวันในเขตเวลาของคุณหากมันเกิดมีปัญหา และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามี พนักงานที่เป็นนักพัฒนาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคน คอยตอบกลับในช่วงเวลากลางวันของคุณ ไม่อย่างนั้นเมื่อมีบางอย่างผิดพลาดขึ้นมา (ต้องมีแน่) คุณจะไม่มีใครรับหน้าที่ทำงานได้ทันทีได้เลย

อีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยกับทีมในต่างแดนคือ ภาษาและอุปสรรคด้านการสื่อสาร ต้องมั่นใจว่า PM หรือผู้จัดการบัญชีของคุณ มีความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษที่เพียงพอ เพราะมันจะเป็นช่องทางหลักในการสร้างข้อกำหนด และทำสิ่งต่าง ๆ ให้เสร็จในภายหลัง หากคุณสามารถสื่อสารความต้องการของคุณกับพวกเขาได้ พวกเขาก็ควรที่จะสามารถแปลความต้องการของคุณให้กับนักพัฒนาระบบโดยตรงได้

สุดท้ายคือ ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าข้อกำหนด หรือคำขอพิเศษของโปรเจค มีการลงรายละเอียด ยิบย่อยที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นวิธีการที่ดีมาก ไม่ว่าจะทำงานกับใคร เพราะในบางครั้ง แนวคิดที่คุณใช้ในฐานะเจ้าของธุรกิจในประเทศตัวเอง อาจจะไม่เป็นที่เข้าใจสำหรับนักพัฒนาในประเทศอื่น ๆ ของโลก

4. พวกเขามีรูปแบบการกำหนดราคาที่ชัดเจนและยุติธรรมหรือเปล่า?

เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคาใจของหลาย ๆ คนเลย เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เรามักได้ยินบ่อยๆมักจะเกี่ยวกับโปรเจคที่เริ่มแล้วแต่ต้องมาหยุดกลางคัน แล้วนักพัฒนาขอเงินเพิ่มเพื่อที่จะจบโปรเจค – เหมือนว่ามีงานเป็นตัวประกันแล้วเรียกเงินจากลูกค้า ดังนั้นโปรเจคที่มีราคาที่แน่นอนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคุณจะสามารถประหยัดเงินได้มากแทนที่จะต้องเสียไปกับการจ้างรายชั่วโมง เพราะส่วนใหญ่แล้วคุณจะสำเร็จได้ด้วยการกำหนดราคาที่แน่นอนไปเลย

ต้องมั่นใจด้วยว่า ใบเสนอราคาระบุชัดเจนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากบุคคลที่สาม คุณหรือใครที่เป็นคนจ่ายเงินให้กลับ Extension? แล้วรูปในสต็อกสินค้าล่ะ? ใครจะเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้จริงๆ เมื่อโปรเจคเสร็จแล้ว

ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าขอบเขตของโปรเจคกำลังออกนอกลู่ทางที่คาดหวังไว้? ความผิดนี่จะเป็นของใคร และใครจะเป็นผู้จ่ายเงิน? หากพวกเขาเป็นนักพัฒนาที่มีประสบการณ์มากพอ พวกเขาจะสามารถประเมินโปรเจคของคุณได้ใกล้เคียงมากพอที่จะไม่เป็นปัญหาได้ คุณต้องมั่นใจด้วยว่า คุณเข้าใจมันจะได้รับการจัดการอย่างไร ถ้าโปรเจคเกิความผิดพลาดขึ้น

5. มีอะไรอยู่ในผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาบ้าง?

ระบบ Magento ถือได้ว่าเป็นร้านค้าออนไลน์ที่ค่อนข้างจะซับซ้อนมาก ดังนั้นก่อนอื่นเลยควรแน่ใจว่าพวกเขามีประสบการณ์มากพอในระบบ Magento เพราะการใช้ Shopify หรือ 3dcart ไม่เหมือนกับ Magento และเพียงเพราะพวกเขามีประสบการณ์ด้านอีคอมเมิร์ซ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถจัดการกับระบบ Magento ได้

ไม่บ่อยนักที่คุณจะได้เจอกับคนทำงานที่ถนัด หรือเชี่ยวชาญในธุรกิจที่คุณทำอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าลืมที่จะขอดูเว็บไซต์ที่พวกเขาเคยทำมา อาจจะมีบางเว็บที่คล้ายกันกับคุณ หรือถ้าพวกเขามีประสบการกับร้านค้าเล็กๆมาแล้ว ก็อาจจะแน่ใจได้เลยว่าเขาจะจัดการกับข้อกำหนดในการปรับแต่งต่างๆ ของการค้าปลีกบนหน้าจอได้

นอกจากนี้ ยังเป็นการดีที่จะดูว่าพวกเขาสามารถเขียน Extension ของ Magento ที่เป็นของตนเองได้หรือไม่ เพราะ Extension ก็เป็นส่วนสำคัญของการปรับแต่งระบบ Magento ด้วย ซึ่งการมีทักษะในด้านนี้จะทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และอาจมีส่วนประกอบบางอย่างที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ของคุณอยู่แล้วและพร้อมที่จะใช้งานได้ทันที