ข้อกำหนดอันดับแรกของเวบแอปพลิเคชั่นคือ มันต้องเชื่อถือได้ ซึ่งความน่าเชื่อถือของ PWA เกิดจากคุณสมบัติเหล่านี้
- โหลดได้อย่างรวดเร็ว
- เข้าถึงได้แม้ในสภาพเครือข่ายที่ไม่ชัดเจน
- ทำงานในโหมดออฟไลน์
อันดับที่สองคือ ความเร็ว และต้องตอบสนองอย่างราบรื่น อันดับที่สามคือต้องให้ความรู้สึกเหมือนใช้แอปพลิเคชั่นจริงๆ เพื่อมอบประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีให้กับผู้ใช้งาน จะเห็นว่า ข้อกำหนดทั้งสามอันดับของ PWA เน้นการสร้างความรู้สึกดีให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งจะกลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน PWA
คอนเท้นต่างๆถูกส่งไปยังผู้ใช้งานผ่าน app shell ในโหมดออฟไลน์ขณะที่หน้าทั่วไปไม่ตอบสนอง แต่ PWA จะแสดงส่วนหัว,เลเอาท์ และภาพที่แสดงว่าเวบกำลังโหลด คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของ PWA คือการปรับตัวเพื่อตอบสนองการใช้งานบนเครื่องมือที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล และยังสามารถสลับการใช้งานไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้ด้วย เพื่อความพร้อมในการใช้งาน PWAs .ใช้ service worker ในการ แคชเนื้อหา ซึ่งจะทำงานเชื่อมประสานกันทั้งขณะเชื่อมต่ออินเตอร์เนต และขณะออฟไลน์ ซึ่งเรียกว่า RAILโมเดล
- เวบสามารถตอบสนองการเรียกใช้งาน
- แสดงภาพแอนิเมชั่น ขณะที่รอโหลดหน้าเพจ
- ใช้ ช่วงขณะ idle ในการ แคชเนื้อหา
- ใช้เวลาในการโหลดเพียงไม่นานเท่านั้น
เราจะแนะนำให้คุณรู้จักคุณสมบัติอื่นๆของ PWA
ถึงคุณจะชินกับการติดตั้งแอปพลิเคชั่นดังที่เคยทำ แต่ก็ไมได้หมายความว่ามันน่าสนุก เพราะมันมีข้อผิดพลาด แต่สำหรับ PWAs คุณสามารถเซฟไอคอนลงบนหน้าจอ และไอคอนนั้นจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับ PWA ไปยังเบราว์เซอร์
เนื่องจากการใช้งาน service worker มีโอกาสที่จะใช้งาน push notifications ได้แบบเต็มที่ ซึ่งเทคโนโลยีได้รับการสนับสนุน อย่างสมบูรณ์แบบบนเดสก์ท็อปทั้ง Chrome, Firefox, Opera และ Safari และจะเพิ่มการสนับสนุนบนมือถือเร็วๆนี้ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้เกิดความมีส่วนร่วมในการใช้งานมากขึ้น
PWA E-Commerce
สำหรับ PWA E-Commerce การค้นหา คือความสามารถสำคัญที่ทำให้ PWAs เหนือกว่าแอปพลิเคชั่นปกติ คุณสามารถใช้เทคนิค SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็น ทำให้ PWAs เข้าถึงผู้ใช้งานที่มากกว่านั่นเอง
อีกแง่มุมที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลง ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ทำให้ลดอัตราการยกเลิกใช้งานระหว่างทางเพราะไม่สามารถอดทนรอการโหลดหน้าเพจของผู้ใช้งานลง นอกจากนี้ push notifications ยังลดอัตราของ conversion rate ลง แม้ว่าจะน่าเสียดายที่คุณลักษณะนี้มันยังไม่ซัพพอร์ตบนมือถือ แต่บนหน้าจอเดสก์ทอปมันสามารถใช้งานได้ดีทีเดียว
ถึงอย่างนั้นก็ไมได้หมายความว่าผู้ใช้ควรจะย้ายจาก AMP เป็น PWA เพราะความจริงมันเป้นไปได้ที่จะใช้ทั้งสองวิธี
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AMP คือมันสามารถปรับปรุงความเร็วในการโหลดบางหน้าได้โดยไม่ต้องทำซ้ำทั้งไซต์ และมีหลายส่วนขยายที่ออกแบบมา เพื่อหาค่าการแสดงผลที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วน PWAs จะสร้างประสบการณ์ที่ดีคล้ายการใช้งานผ่านแอพด้วยคุณสมบัติของเว็บที่ทันสมัย ซึ่งทั้ง AMP และ PWA ต่างก็มีคุณสมบัติที่ดีทั้งคู่
Headless Magento
Headless Magento เป็นคำศัพท์ใหม่ที่อธิบายถึงร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ใช้แพลตฟอร์ม Magento แต่ใช้เทคโนโลยีอื่นซ้อนเข้ามาที่แตกต่างกันสำหรับ UI / UX ส่วน Magento REST API endpoints ยังคงใช้สำหรับฟังก์ชั่นของร้านค้า ดังนั้นคุณจะได้รับ analog ของ PWA สำหรับ Magento แน่นอนว่ามันต้องมีการปรับใช้ front-end store และฟังก์ชั่นส่วนขยายอื่นๆ และมันไม่เป็นมิตรกับงบประมาณเท่าไหร่ แต่มันสามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบกำหนดเองที่ยึดกลุ่มลูกค้าของคุณเป็นศูนย์กลาง
แอปพลิเคชั่น Magento ยังคงทำงานอยู่ แต่คุณปิดการใช้งานเอาต์พุตไปยังเบราว์เซอร์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้า คุณปิด PHP เพื่อขับเคลื่อน static webpage เพื่อนำมาซึ่งเนื้อหาที่ต้องการ เทคโนโลยีอื่นๆที่นำไปสู่เป้าหมายผ่าน การเรียก AJAX ที่ใช้ JavaScript จาก Magento API ต้องมีสามฟังก์ชั่นพื้นฐานของ ‘headless’
- vanilla HTML page
- เครื่องมือ JavaScript
- remote เพื่อเรียก the Magento API.
Headless Magento มีประโยชน์มากกว่าการใช้แพลตฟอร์มมาตรฐาน มันไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจ HTML เนื่องจากไม่มีการใช้รหัส PHP และเครื่องมือ JavaScript ที่ซับซ้อน Headless Magento ใช้ HTML ธรรมดา placeholder-syntax มันไม่ต้องใช้โค้ด PHP ทำให้หน้า HTML สามารถใช้งานแบบคงที่ จึงทำให้ใช้เวลาน้อยลงในการโหลดแอปพลิเคชั่น
นอกจากนี้ Headless Magento 2 หลีกเลี่ยงการใช้ KnockoutJS ในฐานะ frontend developer คุณสามารถใช้ Angular, Vue หรือเฟรมเวิร์กอื่น ๆ กับ Headless Magento 2 ได้อย่างราบรื่น คุณไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญ Magento ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆจากแพลตฟอร์ม จึงไม่จำเป็นต้องจ้างทีมพัฒนา Magento ถ้าคุณคนที่สามารถโฟกัส REST API ได้
