การต้องเลือกทำงานกับ Agency หรือ Freelance กลายมาเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลาย ๆ คน ที่มันยังเป็นแบบนี้ ก็เพราะพวกเขาจะทำเรื่องซ้ำ ๆ และทำสัญญาแบบเดิม ๆ รวมทั้งทำให้มันดูเข้าใจยาก สำหรับลูกค้าที่มีศักยภาพเพียงพอ (โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ได้ทำการวิจัยหรือทำงานร่วมกับ RFP) เขาไม่ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าการทำงานกับ Agency มีข้อดีกว่าอย่างไร เพราะจากประสบการณ์ของผมเอง การที่จะหา Agency หรือ Freelance มาร่วมงานในโปรเจค Magento นั้นยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะหลายเจ้าก็ให้บริการที่เข้าขั้นแย่มาก ๆ
เราจะเริ่มเห็นปัญหาจากตอนที่แพลตฟอร์ม Magento อยู่ดีๆก็โตขึ้นมาอย่างที่ไม่มีใครคาดการณ์ไว้ (ส่วนใหญ่เป็น Platform แบบ Community ) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะหลังจาก Magento กลายเป็น Platform E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีร้านค้าจำนวนมากต้องการใช้ หรือย้ายไปใช้มัน กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้นักพัฒนาระบบทั่วไปและ Agency จำนวนมากรีบกระโดดไปจับธุรกิจบน Platform นี้ เพื่อเร่งสร้างยอดขายให้กับตัวเอง
แต่เอาเข้าจริงปัญหาของมันคือการที่ระบบ Magento นั้น มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกับ Platform ร้านค้าออนไลน์แบบ PHP ทั่วไป เรียกได้ว่ามวยคนละชั้นเลยแหละ แล้วยิ่งพวก Platform ที่ไม่ใช้ร้านค้าออนไลน์อย่าง WordPress, Joomla and Drupal ยิ่งแตกต่างกันเข้าไปใหญ่
คำถามเดิมๆ ที่ถูกถามหรือส่วนใหญ่จะมาขอคำแนะนำมากกว่า ว่าควรจะใช้ Agency หรือ Freelance จากที่ไหนดี (เลือกจากทั่วโลก) – แต่มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าจะถามคนที่เข้าใจระบบ Magento ได้ที่ไหน ดังนั้นผมเลยตั้งใจจะเขียนบทความนี้เพื่อช่วยให้หลายๆ คนเข้าใจสิ่งที่ต้องการ ควรจะดูและทำอย่างไรเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือก หรือหา Agency
แน่นอนว่าความต้องการของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของร้านค้าที่มี แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลักการที่ผมจะบอกต่อไปนี้ จะสามารถปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกขนาดได้เช่นเดียวกัน
ต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญที่คุณควรจะคำนึงถึงเสมอ เมื่อต้องตัดสินใจว่าจะใช้ใครในการทำงาน
ประสบการณ์มากแค่ไหนในการทำงานกับ Magento?
ไม่ว่าจะเป็น Agency หรือ Freelance – ประสบการณ์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกับการใช้งาน Magento เคยมีคนมากมายที่ กลับมาหาผมพร้อมกับประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการทำงานร่วมกับบางคน ที่บอกว่าจะสร้างระบบ Magento ให้ได้สบายมาก แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ผมจึงต้องย้ำอีกครั้งว่าประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมากที่สุด อย่างน้อยต้องแน่ใจว่า พวกเขามีประสบการณ์ทำงานมาไม่น้อยกว่า 2 ปี กับระบบ Magento ที่หลากหลาย
และถ้าเจอ Agency ที่คุณคิดว่าอาจจะใช่แล้วสำหรับคุณแล้ว คุณก็ควรจะตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่า นักพัฒนาของเค้ามีประสบการณ์มากจริง และเขามีทีมที่จะคอยดูแลการพัฒนาทั้ง front-end และ back-end ให้ได้ด้วย หรือสามารถขอคำปรึกษา Magento Service จากเราได้
แล้วพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน?
ปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่อาจเกิดขึ้นได้หากคุณเลือกที่จะทำงานกับ Agency ในประเทศอื่น ผมอยากจะแนะนำว่า คุณควรจะใช้ Agency ที่อยู่ในท้องที่ของคุณจะดีกว่า เพราะเอาจริงๆคือ คุณจะต้องได้พูดคุยกับพวกเขาโดยตรงเป็นประจำ และในการที่ได้พบปะกับผู้คนในทีมก็จะปรับปรุงความเข้าใจให้พวกคุณได้ด้วย
ขั้นตอนการพัฒนาดีแค่ไหน แล้วมี Project Manager ที่มีประสบการณ์หรือไม่?
นี่เป็นหัวใจหลักเลย – เช่นถ้าการจัดการเวลาของพวกเขาไม่ดี อัตรารายชั่วโมง หรือ รายวันของพวกเขาจะลดลง ส่วนวิธีการจัดการโปรเจคที่ใช้ ก็อาจแตกต่างกันไป และคุณอาจหรืออาจไม่รับการพิจารณาในเรื่องนี้ แต่ให้แน่ใจว่าคุณได้ให้พวกเขาอธิบายกระบวนการของพวกเขาให้กับคุณด้วย
นอกจากนี้เมื่อคุณได้รับใบเสนอราคาสำหรับ Magento – ผมขอแนะนำให้ขอใบเสนอราคาแบบแยกส่วนพร้อมกับราคา (Break Down) และระยะเวลาสำหรับแต่ละส่วนของโปรเจค
สามารถดูแลระบบหลังจากส่งมอบได้หรือไม่?
โดยทั่วไปเว็บไซต์แบบ Magento จำเป็นต้องมีการดูแลด้านการพัฒนาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มร้านคาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีฟังก์ชันการทำงานมากมายด้วย จริง ๆ แล้วคุณต้องมี Agency ที่ให้การดูแล แม้ว่าคุณจะดูแลเว็บไซด์ด้วยทีมงานในองค์กรในภายหลัง – ก็ควรจะมีเพื่อคอยช่วยเหลือหากเกิดเหตุต่างๆ
ค่าบริการสำหรับการดูแลระบบ?
ส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญมากอีกเช่นกัน เนื่องจากคุณมีโอกาสที่จะต้องใช้งานระบบการดูแลในหลายขั้นตอนเลย หลังจากที่คุณเปิดตัวเว็บไซต์แล้ว ควรสอบถามผู้พัฒนาว่ามีการดูแลหลังจากส่งมอบ Magento แล้วหรือไม่
เป็น Magento Partner หรือไม่?
ผมบอกได้เลยว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่ เพราะการเป็น Partner กับ Magento ไม่ได้ระบุว่า Agency นั้นจะดีหรือไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงผมได้เห็น Agency ที่ไม่ดีก็มีอยู่มาก ซึ่งเป็นถึง Silver Partner ก็มี
มีประสบการณ์ในการย้าย Platform หรือไม่ (เข้าใจเรื่อง SEO) หรือไม่?
หากคุณจะย้ายข้อมูลมายัง Magento จากแพลตฟอร์มอื่น นี่อาจเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก เพราะถ้าตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่น้อย ก็อาจมีผลกระทบต่อยอดการเข้าชมและรายได้ของคุณด้วย มีสิ่งที่ต้องทบทวนมากมายก่อนที่จะทำการโยกย้ายโปรเจค และมันจะง่ายกว่าเสมอ ถ้าคุณสามารถทำงานร่วมกับ Agency หรือผู้ที่ให้บริการเพียงรายเดียวสำหรับโปรเจคทั้งหมดได้ – ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณหาเคสตัวอย่างและทำการศึกษาให้ละเอียดก่อน
เคยทำงานกับระบบที่ซับซ้อนได้หรือไม่?
ถ้าคุณขอให้ Agency ทำอะไรที่ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานทั่วไป คุณควรจะถามเขาก่อนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านในการทำงานแบบผสานรวมระบบ หากคุณต้องการผสานรวมกับ Platform CRM หรือ ERP หรือกำลังวางแผนว่าจะเปลี่ยนแปลงในภายหลัง – คุณควรถามรายละเอียดถึงโปรเจคก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเคยทำมาก่อนดูด้วย
มีจะมีการอบรมผู้ใช้อย่างไรบ้าง เมื่อสิ้นสุดโปรเจค?
สิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกอบรมผู้ใช้ ก็เนื่องจากการที่ทีมงานของคุณไม่มีความรู้เพียงพอในการจัดการเว็บไซต์ต่อได้ และคุณจะต้องจ่ายหนักพอดู เพื่อขอรับการสนับสนุนนี้เพิ่มเติม
มีนักพัฒนาที่มี Certificate หรือไม่?
ก่อนอื่นคุณต้องทราบก่อนว่า Magento Certificate ใช่ว่าจะได้กันมาง่ายๆ นักพัฒนาที่มี Certificate จะการันตีได้เลยว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญดีมากเพียงใด ยิ่งหากมีนักพัฒนาที่ผ่านการรับรองอย่างน้อยหนึ่งคนในทีม โอกาสที่โปรเจคจะสำเร็จก็เป็นไปได้สูงมาก
นอกจากนี้ ถ้าคุณมีตัวเลือกของ Agency ที่คุณจะไปคุยด้วยอยู่ในมือแล้ว หรือที่คุณได้รวมไว้ใน RFP แล้วคุณก็ควรจะทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ด้วย:
ขอคุยกับลูกค้ารายเดิมของพวกเขา
เรื่องนี้ผมคิดว่าควรจะต้องทำให้ได้ แต่หลายคนไม่ค่อยทำมัน การพูดคุยกับลูกค้าของพวกเขา (ควรจะเป็นลูกค้าที่พวกเขาไม่ได้เลือกเอง) จะช่วยให้คุณสามารถถามคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปของโปรเจค ถามว่ามันมีการส่งตรงเวลาไหม มีปัญหาใดๆ หรือไม่
ขอพูดคุยกับ Project Manager / Account Manager ที่คุณจะต้องประสานงานด้วย
เป็นหัวใจหลักอีกข้อที่ควรทำ เพราะถ้าคุณไม่ชอบคนคนนี้ มันก็จะทำให้โปรเจคของคุณใช้เวลานาน ขึ้นและด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถถามพวกเขาเกี่ยวกับโปรเจคอื่นๆ และประสบการณ์ของพวกเขาได้ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดส่งงานของคุณ จะเป็นไปอย่างราบรื่น